คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2156/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยฎีกาว่าโจทก์ปิดอากรแสตมป์ในเอกสารเมื่อพ้น 90 วันนับแต่วันต้องปิดอากรแสตมป์ โดยมิได้เสียอากรเพิ่ม แต่ขณะโจทก์อ้างส่งเอกสารต่อศาล เอกสารนั้นปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนบริบูรณ์ตามกฎหมาย และศาลชั้นต้นได้รับรวมสำนวนไว้แล้ว จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีได้โดยไม่ต้องเสียอากรเพิ่ม ตามมาตรา 113 แห่งป.รัษฎากร ให้ครบถ้วนก่อน.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2519นางอาภรณ์ ทองคำกุล กู้ยืมเงินโจทก์ไป 25,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี กำหนดชำระเงินคืนในวันที่ 18 พฤษภาคม 2521โดยมีจำเลยเป็นผู้ค้ำประกัน เมื่อครบกำหนดชำระหนี้ นางอาภรณ์ผิดนัดโจทก์ทวงถามจำเลยแล้วจำเลยนำเงินมาชำระให้โจทก์ 5,000 บาท เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2526 คงค้างชำระอีก 20,000 บาท ขอให้จำเลยชำระเงิน 32,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน20,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันให้โจทก์ โจทก์ขีดฆ่าแก้ไขสัญญาค้ำประกันที่จำเลยทำให้นางอาภรณ์มาเป็นชื่อโจทก์โดยพลการ เอกสารดังกล่าวจึงเป็นเอกสารปลอม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 20,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2526เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยเป็นผู้ค้ำประกันหนี้แก่โจทก์ตามฟ้อง ตามเอกสารหมาย จ.1 จำเลยฎีกาว่าเอกสารหมาย จ.1 ไม่ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ เพราะโจทก์ปิดอากรแสตมป์เมื่อพ้น 90 วัน นับแต่วันต้องปิดอากรแสตมป์โดยมิได้เสียอากรเพิ่มต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีนั้น เห็นว่า เมื่อโจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเข้าเบิกความ โจทก์ได้อ้างส่งเอกสารหมาย จ.1เป็นพยาน ซึ่งเอกสารดังกล่าวได้ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนบริบูรณ์ตามกฎหมายและศาลชั้นต้นได้รับรวมสำนวนไว้แล้ว จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีได้โดยไม่จำต้องเสียอากรเพิ่มตามมาตรา 113 แห่งประมวลรัษฎากรให้ครบถ้วนก่อน ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share