คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1643/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยเอาปืนของผู้เสียหายไปเพื่อจะยิงทำร้าย ส.ซึ่งเป็นชู้กับภริยาของจำเลยด้วยความบันดาลโทสะที่เห็น ส. นั่งอยู่กับภริยาของจำเลย มิได้มีเจตนาที่จะเอาปืนของผู้เสียหายไปเป็นของตนโดยทุจริต จึงไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91,339, 340 ตรี, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ที่แก้ไขแล้ว คืนของกลางแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคแรก, 72 วรรคสามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334, 371 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนจำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุสมควรและไม่ได้รับอนุญาต ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก6 เดือน ฐานลักทรัพย์จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 18 เดือน จำเลยนำสืบให้ความรู้แก่ศาลเป็นประโยชน์แก่การพิจารณานับเป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 12 เดือนคือของกลางแก่ผู้เสียหาย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 เมื่อรวมโทษฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนและฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว ให้จำคุก 12 เดือน ข้อนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 เดือนนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าวันเวลาเกิดเหตุจำเลยได้ขอร้องให้ผู้เสียหายพาจำเลยไปตามภริยาของจำเลยผู้เสียหายตกลงพาจำเลยไปโดยรถจักรยานยนต์และพกปืนเหน็บไว้ที่เอวด้านซ้ายสวมเสื้อคลุมทับไว้ จำเลยนั่งซ้อนท้าย ครั้นถึงบ้านนางหลงแม่ยายจำเลยพบภริยาจำเลย จำเลยชักปืนไปจากเอวของผู้เสียหายแล้วไม่ยอมคืนให้ ปัญหาวินิจฉัยในชั้นนี้มีว่า จำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่ ผู้เสียหายเบิกความว่าผู้เสียหายและจำเลยมีความสนิทสนมกันดี จำเลยเรียกผู้เสียหายว่าพ่อใหญ่ (หมายถึง ตา) จำเลยขอร้องให้ผู้เสียหายพาไปตามภริยาจำเลย เพราะภริยาของจำเลยหนี้ตามชายชู้ไป เมื่อไปถึงบ้านนางหลงแม่ยายจำเลย จำเลยเห็นภริยาจำเลยนั่งอยู่กับนายสอน สัตนาโคชายชู้ จำเลยก็บอกให้ผู้เสียหายจอดรถ ก่อนรถจอดจำเลยชักปืนจากเอวของผู้เสียหายและลงจากรถ ผู้เสียหายขอปืนคืนจากจำเลย จำเลยบอกว่าพ่อใหญ่อยู่เฉย ๆ เดี๋ยวจะพากลับ ไม่ยอมคืนปืนให้ ผู้เสียหายจึงไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพราะเกรงว่าจำเลยจะนำปืนไปทำร้ายคนอื่นไม่เคยคิดว่าจำเลยจะเอาปืนของผู้เสียหายไปเป็นของตนเอง เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจมาพบจำเลย จำเลยมิได้แสดงอาการที่จะหลบหนี เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจถามว่าปืนอยู่ไหน จำเลยก็ตอบว่าอยู่ที่ใต้ถุนบ้านของลุง และพาเจ้าพนักงานตำรวจไปเอาปืน จากคำเบิกความของผู้เสียหายดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นความสนิทสนมกันระหว่างผู้เสียหายและจำเลยก็ดีสาเหตุที่จำเลยต้องไปตามภริยาของจำเลยก็ดี คำพูดโต้ตอบระหว่างผู้เสียหายและจำเลยที่ไม่ยอมคืนปืนให้ก็ดี และการที่จำเลยพาเจ้าพนักงานตำรวจไปเอาปืนก็ดี ล้วนแต่ปรากฏชัดแจ้งว่า จำเลยเอาปืนของผู้เสียหายไปเพื่อที่จะยิงทำร้ายนายสอน ซึ่งเป็นชู้กับภริยาของจำเลย ด้วยความบันดาลโทสะที่เห็นนายสอนนั่งอยู่กับภริยาของจำเลย หาใช่เจตนาที่จะเอาปืนของผู้เสียหายไปเป็นของตนโดยทุจริตไม่ จำเลยจึงไม่มีเจตนาทุจริตในการเอาปืนของผู้เสียหายไปไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์…”
พิพากษายืน.

Share