คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2013/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอหย่าจำเลยและศาลมีคำพิพากษายกฟ้องโดยยังมิได้วินิจฉัยเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สิน คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงชื่อตนเป็นเจ้าของรวมในสินสมรส ประเด็นของคดีจึงมีว่าทรัพย์ตามคำฟ้องเป็นสินสมรสหรือไม่และโจทก์มีสิทธิขอให้ลงชื่อเป็นเจ้าของรวมหรือไม่ อันมิใช่ประเด็นที่ได้วินิจฉัยไว้แล้วในคำพิพากษาคดีก่อน การฟ้องคดีนี้ของโจทก์จึงไม่เป็นการฟ้องซ้ำ ป.พ.พ. มาตรา 1475 กำหนดให้สามีหรือภริยาต้องปฏิบัติตามคำร้องขอของอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งไม่มีชื่อในเอกสารสำคัญให้ต้องยินยอมให้ฝ่ายนั้นลงชื่อตนเป็นเจ้าของร่วมด้วย โจทก์กล่าวไว้ในฟ้องว่าได้มีหนังสือขอให้จำเลยจัดการให้โจทก์ลงชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่อ้างว่าเป็นสินสมรส จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธว่ามิได้รับหนังสือดังกล่าวของโจทก์ กรณีจึงต้องถือว่าจำเลยทราบคำบอกกล่าวของโจทก์แล้วเพิกเฉย อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยให้จดทะเบียนลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของรวมในโฉนดที่ดินสินสมรสได้ การพิจารณาว่าทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาเป็นทรัพย์สินประเภทใดนั้น ต้องพิจารณาตามกฎหมายที่ใช้ในขณะที่ได้มา จำเลยรับโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงมาเป็นของจำเลยในระหว่างสมรสในขณะใช้ ป.พ.พ.บรรพ 5 เดิม โดยมิได้ระบุไว้ว่าให้เป็นสินส่วนตัวหรือสินเดิมที่ดินพิพาทดังกล่าวจึงเป็นการได้มาในฐานะที่เป็นสินสมรสตามมาตรา 1466 แห่ง ป.พ.พ.บรรพ 5 เดิม อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับขณะนั้น สิทธิของคู่สมรสที่จะร้องขอให้ลงชื่อตนเป็นเจ้าของรวมในเอกสารสำคัญตามที่บัญญัติใน ป.พ.พ. มาตรา 1475 เป็นบทบัญญัติในหมวดทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา แสดงให้เห็นว่าตราบใดที่ความเป็นสามีภริยายังมีอยู่ คู่สมรสมีสิทธิตามที่กำหนดไว้ในมาตรานี้ตลอดไป โดยไม่ต้องคำนึงว่าได้ล่วงเลยเวลาที่ได้สินสมรสมาแล้วนานเท่าไร เพราะมิใช่กรณีที่จะต้องใช้สิทธิเรียกร้องภายในระยะเวลาอันกฎหมายกำหนด ฉะนั้น แม้โจทก์จะทราบว่าจำเลยได้รับโอนที่ดินพิพาทมาเป็นเวลา 37 ปีแล้ว แต่เพิ่งนำคดีมาฟ้องก็ตามคดีก็ไม่ขาดอายุความ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยและโจทก์เป็นสามีภริยากัน โดยทำการสมรสก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 และอยู่กินฉันสามีภริยาตลอดมาทรัพย์สินระหว่างโจทก์จำเลยมีที่ดินมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ขอให้ลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยในโฉนดที่ดินเลขที่ 76774 ตำบลบางซื่อ อำเภอดุสิต (บางซื่อ) กรุงเทพมหานครและโฉนดที่ดินเลขที่ 4786 ตำบลบางซ่อน อำเภอบางซ่อน กรุงเทพมหานครหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย
จำเลยให้การว่าเป็นฟ้องซ้ำ ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงจำเลยได้รับการยกให้จากบิดามารดาของจำเลยจึงเป็นสินเดิมของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เดิม และกลายมาเป็นสินส่วนตัวของจำเลย โดยผลของ มาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้บรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่พุทธศักราช 2519 โจทก์หามีสิทธิจะมาขอให้ใส่ชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลย ทั้งสิทธิของโจทก์ขาดอายุความแล้ว โจทก์อยู่อาศัยในที่ดินพิพาทโดยปกติสุข มิได้ถูกรบกวนหรือโต้แย้งสิทธิแต่อย่างใดโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของรวมลงในโฉนดที่ดินเลขที่ 76774 ตำบลบางซื่อ อำเภอดุสิต (บางซื่อ)กรุงเทพมหานคร และโฉนดที่ดินเลขที่ 4786 ตำบลบางซ่อน อำเภอบางซื่อกรุงเทพมหานคร หากจำเลยไม่จัดการ ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังยุติตามคำแถลงของโจทก์จำเลยว่าที่ดินพิพาททั้งสองแปลงจำเลยได้มาระหว่างสมรสกับโจทก์ที่ดินแปลงแรกจำเลยได้มาโดยการรับให้ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2489ที่ดินแปลงที่สองจำเลยรับโอนทางมรดกจากนางเป๊ะ ดิษธรรม ซึ่งเป็นมารดาของจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2496 การรับโอนที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวมิได้ระบุชัดแจ้งว่าให้แก่จำเลยเพื่อเป็นสินสมรส หรือสินส่วนตัว หรือสินเดิม ทั้งโจทก์เคยฟ้องขอหย่าจำเลยต่อศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยยังมิได้วินิจฉัยเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สินแต่อย่างใด ปัจจุบันจำเลยและโจทก์ยังคงเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย
คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยข้อ 1 ว่า ที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานนั้นเป็นการชอบหรือไม่ ได้พิจารณาข้อหาตามคำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลยแล้ว คดีนี้ผู้ที่เป็นโจทก์คือนางทวน เสือประดิษฐฟ้องจำเลยซึ่งเป็นสามีขอให้ลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกันในเอกสารสำคัญที่อ้างว่าเป็นสินสมรสตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1475 อันถือว่าเป็นสิทธิเฉพาะตัวของโจทก์ การที่โจทก์จะให้ทนายความคนใดดำเนินคดีหรือมีมูลเหตุแห่งการใช้สิทธิตามที่กฎหมายกำหนดได้เพราะอะไรนั้น มิได้ทำให้การฟ้องคดีของโจทก์เป็นไปโดยไม่ชอบแต่อย่างใด ในเมื่อข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยแถลงรับกันตามที่กล่าวข้างต้นนั้นเป็นการเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีได้แล้ว การที่จำเลยจะขอสืบพยานเพื่อให้เห็นมูลเหตุแห่งการฟ้องคดีของโจทก์ จึงไม่มีประโยชน์ต่อคดีที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานจึงเป็นการชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาในข้อ 2 ว่า ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ ได้ความตามคำแถลงรับของโจทก์จำเลยว่า คดีก่อนนั้นโจทก์ฟ้องขอหย่าจำเลยและศาลมีคำพิพากษายกฟ้องโดยยังมิได้วินิจฉัยเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สินแต่อย่างใด ในคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงชื่อตนเป็นเจ้าของรวมในสินสมรส ประเด็นของคดีนี้จึงมีว่าทรัพย์ตามคำฟ้องเป็นสินสมรสหรือไม่และโจทก์มีสิทธิขอให้ลงชื่อเป็นเจ้าของรวมหรือไม่ อันมิใช่ประเด็นที่ได้วินิจฉัยไว้แล้วในคำพิพากษาคดีก่อน การฟ้องคดีนี้ของโจทก์จึงไม่เป็นการฟ้องซ้ำตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 148 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาในข้อ 3 ว่า โจทก์มิได้ถูกโต้แย้งสิทธิจึงไม่มีอำนาจฟ้อง เห็นว่าสิทธิของสามีหรือภริยาที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1475นั้น เป็นการที่กฎหมายกำหนดให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องปฏิบัติตามคำร้องขอของอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งไม่มีชื่อในเอกสารสำคัญให้ต้องยินยอมให้ฝ่ายนั้นลงชื่อตนเป็นเจ้าของร่วมด้วย โจทก์กล่าวไว้ในฟ้องแล้วว่าได้มีหนังสือขอให้จำเลยจัดการให้โจทก์ลงชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่อ้างว่าเป็นสินสมรส จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธว่ามิได้รับหนังสือดังกล่าวของโจทก์ กรณีจึงต้องถือว่าจำเลยทราบคำบอกกล่าวของโจทก์แล้วเพิกเฉยอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่มีตามกฎหมายโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาข้อ 4 ว่า ที่ดินพิพาทมิใช่สินสมรส โจทก์จำเลยแถลงรับกันว่าที่ดินพิพาททั้งสองแปลงได้มาระหว่างสมรสและได้มาขณะที่ใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เดิม การที่จะพิจารณาว่าเป็นทรัพย์สินประเภทใดในระหว่างสามีภริยาจึงต้องพิจารณาตามบทกฎหมายที่ในขณะที่ได้มา การรับโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงมาเป็นของจำเลยนั้นมิได้ระบุไว้ว่าให้เป็นสินส่วนตัวหรือสินเดิม ดังนั้นการได้ที่ดินที่พิพาททั้งสองแปลงของจำเลยจึงเป็นการได้มาในฐานะที่เป็นสินสมรสตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 1466 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เดิม อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับขณะที่ได้มาฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาในข้อ 5 ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์ทราบว่าจำเลยได้รับโอนที่ดินพิพาทมาเป็นเวลา 37 ปีแล้วเห็นว่า สิทธิของคู่สมรสที่จะร้องขอให้ลงชื่อตนเป็นเจ้าของรวมในเอกสารสำคัญตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1475 นั้น เป็นบทบัญญัติในหมวดทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา แสดงให้เห็นว่าตราบใดที่ความเป็นสามีภริยายังมีอยู่คู่สมรสก็ยังมีสิทธิตามที่กำหนดไว้ในมาตรานี้ตลอดเวลาไม่ว่าจะช้านานเท่าใด ในเมื่อโจทก์จำเลยยังเป็นสามีภริยากันอยู่เช่นนี้ก็เป็นกรณีที่โจทก์จะใช้สิทธิร้องขอให้ลงชื่อตนด้วยได้ตามที่กฎหมายกำหนด โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าได้ล่วงเลยเวลาที่ได้สินสมรสมาแล้วนานเท่าไร เพราะมิใช่กรณีที่จะต้องใช้สิทธิเรียกร้องภายในระยะเวลาอันกฎหมายกำหนดไว้คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตามที่จำเลยฎีกามา ฎีกาของจำเลยข้อนี้คงฟังไม่ขึ้นเช่นกัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน.

Share