คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2430/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ดำเนินกิจการที่เกี่ยวกับการให้ใช้บริการสระว่ายน้ำ โดยมีค่าตอบแทนแก่บุคคลทั่วไปในรูปการจำหน่ายบัตรให้แก่ผู้ใช้บริการ จำเลยที่ 2 จึงต้องมีหน้าที่และมาตรการให้ความปลอดภัยและดูแลความเรียบร้อยของสระว่ายน้ำในระดับที่เชื่อถือและไว้วางใจได้ โดยเฉพาะผู้ใช้บริการที่เป็นเด็กเล็ก สิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการให้บริการในลักษณะนี้ของสระว่ายน้ำ ได้แก่การจัดหาพนักงานช่วยชีวิตประจำสระว่ายน้ำที่มีความสามารถและมีจำนวนเพียงพอเพื่อช่วยชีวิตหรือป้องกันอุบัติเหตุของผู้ใช้บริการในกรณีที่มีเหตุอันตรายที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้ ประกาศที่ทางสระว่ายน้ำระบุให้ผู้ใช้บริการรับผิดชอบความปลอดภัยของตนเองนั้น ไม่ทำให้เป็นข้อแก้ตัวที่จำเลยที่ 2 จะปัดความรับผิดได้ แม้จำเลยที่ 2 จะจ้างพนักงานช่วยชีวิตไว้ประจำสระว่ายน้ำก็ตาม แต่ขณะที่ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นเด็กจมน้ำลงสู่พื้นสระว่ายน้ำไม่มีผู้ใดเห็นเหตุการณ์เลย ถือได้ว่าเป็นความละเลยของพนักงานช่วยชีวิตที่ไม่อยู่ปฏิบัติหน้าที่และพร้อมจะให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ใช้บริการ การกระทำโดยประมาทเลินเล่อดังกล่าวของพนักงานช่วยชีวิตซึ่งอยู่ในความควบคุมดูแลและสั่งการของจำเลยที่ 2 ถือว่าเป็นการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 2 ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นมารดาโดยชอบธรรมของเด็กชายรุ่งโรจน์กนกโชติเลิศ จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของผู้ครอบครองสระว่ายน้ำหมู่บ้านเสรี ซึ่งเปิดบริการให้แก่บุคคลทั่วไปโดยคิดค่าบริการ จำเลยที่ ๒ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒กุมภาพันธ์ ๒๕๒๙ เวลาประมาณ ๑๔ นาฬิกา เด็กชายรุ่งโรจน์ได้ไปใช้บริการที่สระว่ายน้ำหมู่บ้านเสรีโดยเสียค่าบริการ ๑๕ บาท จำเลยที่ ๒ ได้ทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๑ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังโดยไม่ได้จัดให้มีเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้แก่ผู้มาใช้บริการสระว่ายน้ำตามสมควรซึ่งสามารถช่วยเหลือผู้มาใช้บริการในทันทีเมื่อเกิดเหตุในขณะที่เล่นน้ำในสระของจำเลยที่ ๑ เป็นเหตุให้เด็กชายรุ่งโรจน์จมน้ำในขณะกำลังเล่นน้ำอยู่ในสระว่ายน้ำดังกล่าว และเสียชีวิตต่อมา ด้วยสาเหตุการจมน้ำดังกล่าวเป็นการละเมิดทำให้โจทก์เสียหายเป็นเงิน ๒๗๐,๐๐๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันใช้ค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทนพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธความรับผิด
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน ๒๔๒,๓๔๒ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน๖๒,๓๔๒ บาท นับแต่วันละเมิด (๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๙) และในต้นเงิน ๑๘๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันมีคำพิพากษาเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ดำเนินกิจการสระว่ายน้ำหมู่บ้านเสรีที่เกิดเหตุ การใช้บริการในสระว่ายน้ำแห่งนี้แต่ละครั้งจะต้องเสียค่าบริการหลายราคา ขึ้นอยู่กับวัยของผู้ใช้บริการ อาทิ เด็กอายุต่ำกว่า ๑๐ ขวบ เสียค่าบริการ๑๐ บาท เด็กอายุเกิน ๑๐ ขวบขึ้นไป เสียค่าบริการ ๑๕ บาท ส่วนผู้ใหญ่เสียค่าบริการ ๒๐ บาทและในบริเวณสระว่ายน้ำมีป้ายประกาศระบุว่า “โปรดรับผิดชอบในความปลอดภัยของตัวท่านเอง”จากข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นกล่าวนี้ แสดงว่าจำเลยที่ ๒ ดำเนินกิจการที่เกี่ยวกับการให้ใช้บริการสระว่ายน้ำโดยมีค่าตอบแทนแก่บุคคลทั่วไปในรูปของการจำหน่ายบัตรให้แก่ผู้ใช้บริการ ดังปรากฏรายละเอียดของคูปองสระว่ายน้ำหมู่บ้านเสรีเอกสารหมาย จ.๗ ดังนั้น จำเลยที่ ๒ จึงต้องมีหน้าที่และมาตรการให้ความปลอดภัย และดูแลควาเรียบร้อยของสระว่ายน้ำในระดับที่เชื่อถือและไว้วางใจได้ ทั้งนี้โดยเหตุผลที่ว่าอาจมีผู้ใช้บริการสระว่ายน้ำของจำเลยที่ ๒ ซึ่งยังเป็นเด็ก ดังที่อัตราค่าใช้บริการได้จำแนกอายุของเด็กไว้ โดยเฉพาะเด็กในวัยที่ต่ำกว่า ๑๐ ขวบ ผู้ให้บริการจะต้องมีความระแวดระวังในเรื่องความปลอดภัยของชีวิตเป็นพิเศษ เนื่องจากความอ่อนอายุและความสามารถในการช่วยตัวเองในสระว่ายน้ำ ยังพึ่งตัวเองไม่ได้ สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในการให้บริการในลักษณะนี้ของสระว่ายน้ำ ได้แก่การจัดหาพนักงานช่วยชีวิตประจำสระว่ายน้ำที่มีความสามารถและมีจำนวนเพียงพอเพื่อช่วยชีวิตหรือป้องกันอุบัติเหตุของผู้ใช้บริการในกรณีที่มีเหตุอันตรายที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้แม้ว่าทางสระว่ายน้ำหมู่บ้านเสรีจะปิดประกาศให้ผู้ใช้บริการรับผิดชอบความปลอดภัยของตนเองก็ตามประกาศดังกล่าวก็ไม่ทำให้เป็นข้อแก้ตัวที่จำเลยที่ ๒ จะปัดความรับผิดได้ ทั้งในกรณีนี้ที่โจทก์อนุญาตให้บุตรไปว่ายน้ำก็หาใช่เป็นความประมาทของโจทก์ไม่ เพราะบุตรโจทก์ว่ายน้ำได้ดีพอควรแล้วอย่างไรก็ดี ในข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยที่ ๒ ได้จัดหาพนักงานช่วยชีวิตประจำสระว่ายน้ำไว้หรือไม่นั้นยังโต้เถียงกันอยู่ พยานโจทก์ได้แก่เด็กชายกิตติชัย แซ่เล้า และนายวีรชัย พรศิริมงคล เบิกความว่าไปเล่นน้ำที่สระว่ายน้ำที่เกิดเหตุประมาณ ๖ เดือนมาแล้ว ไม่เคยพบพนักงานช่วยชีวิตเลย ส่วนจำเลยนำสืบโต้แย้งว่าได้ว่าจ้างนายพรชัย ทัศนีกำจร เป็นพนักงานช่วยชีวิตประจำสระว่ายน้ำหมู่บ้านเสรีทำงานระหว่างเวลา ๗ นาฬิกา ถึง ๒๐ นาฬิกา ข้อโต้เถียงในข้อนี้เห็นว่า แม้คดีจะรับฟังได้ว่าจำเลยที่ ๒ จะได้จ้างนายพรชัยไว้เป็นพนักงานช่วยชีวิตก็ตาม แต่ในขณะเกิดเหตุนายพรชัยก็ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่พร้อมที่จะป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นทันทีขณะใดก็ได้ที่สระว่ายน้ำ ดังจะเห็นว่าในกรณีนี้เพื่อน ๆ ของเด็กชายรุ่งโรจน์เป็นผู้พบเหตุการณ์เอง หลังจากที่ว่ายน้ำกันเป็นเวลาประมาณ ๒๐ นาทีแล้ว จึงพักที่ขอบสระว่ายน้ำ แต่ไม่เห็นเด็กชายรุ่งโรจน์ ตามหาตัวที่ห้องน้ำก็ไม่พบ กระทั่งนายวีรชัยเห็นเงาคนที่ก้นสระน้ำ จึงดำน้ำลงไปพบ แล้วช่วยกันดึงตัวเด็กชายรุ่งโรจน์ขึ้นมา แสดงว่า ในขณะที่เด็กชายรุ่งโรจน์จมน้ำลงสู่พื้นสระว่ายน้ำไม่มีผู้ใดเห็นเหตุการณ์เลย ถือได้ว่าเป็นความละเลยของพนักงานช่วยชีวิตที่ไม่อยู่ปฏิบัติหน้าที่และพร้อมจะให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ใช้บริการ ที่นายพรชัยอ้างว่าตำแหน่งที่ผู้ตายจมน้ำอยู่ห่างจากตน ๒๕ เมตร ถ้าอยู่ในระหว่างจะจมน้ำ พยานก็สามารถจะช่วยเหลือได้ทัน ชี้ให้เห็นว่า นายพรชัยมิได้อยู่ปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานช่วยชีวิตประจำสระว่ายน้ำในขณะที่เด็กชายรุ่งโรจน์จมน้ำเลย การกระทำโดยประมาทเลินเล่อดังกล่าวของนายพรชัยซึ่งอยู่ในความควบคุมดูแลและสั่งการของจำเลยที่ ๒ จึงถือว่าเป็นการกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๒ ด้วยศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาชอบแล้ว
พิพากษายืน.

Share