คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 470/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เจ้ามรดกตาย โจทก์และ ล. บุตรเจ้ามรดกซึ่งเป็นทายาทได้รับมรดกที่ดินพิพาทมาแล้วร่วมกันครอบครองโดยมิได้แบ่งแยกจึงมิใช่มรดกของเจ้ามรดกอีกต่อไป แต่เป็นทรัพย์สินร่วมกันของโจทก์และ ล. เมื่อ ล. ตายส่วนของ ล. ตกแก่จำเลยทั้งห้าซึ่งเป็นบุตร ล. โจทก์ขอแบ่งส่วนของตน จำเลยทั้งห้าไม่ยอม จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ฟ้องขอให้แบ่งที่ดินพิพาทให้โจทก์ในฐานะที่เป็นเจ้าของรวม มิใช่ในฐานะที่เป็นทายาทโดยธรรมเนียม เรียกร้องเอาทรัพย์มรดก แม้โจทก์จะเป็นพระภิกษุก็ฟ้องจำเลยทั้งห้าได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรของนายห้อยและนางละม้าย สุขดีหรือสุกดี จำเลยทั้งห้าเป็นบุตรของนางละมูล โหงอ่อน พี่สาวโจทก์ นางละม้ายมารดาโจทก์ตายก่อนนายห้อย นายห้อยตายไปประมาณ 20 ปีก่อนตายนายห้อยมีที่ดิน ส.ค.1 หนึ่งแปลงเนื้อที่ 16 ไร่ 1 งาน 58 ตารางวา ตั้งอยู่ที่ตำบลเกรียงไกรหลังจากนายห้อยตายโจทก์และนางละมูลได้รับมรดกที่ดินแปลงดังกล่าวมา และได้ร่วมกันครอบครองตลอดมาโดยมิได้แบ่งแยกต่อมาโจทก์ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุครั้นต้นปี พ.ศ. 2530นางละมูลตาย หลังจากนางละมูลตายแล้ว จำเลยทั้งห้าไปขอออกน.ส.3 ก. สำหรับที่ดินดังกล่าวเป็น น.ส.3 ก. เลขที่ 276 โจทก์ทราบจึงไปยื่นคำคัดค้านต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และบอกกล่าวให้จำเลยทั้งห้าไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ตามส่วน จำเลยทั้งห้าไม่ยอม ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินน.ส.3 ก. เลขที่ 276 แล้วจดทะเบียนเป็นชื่อโจทก์ จำนวน 8 ไร่79 ตารางวา หากจำเลยทั้งห้าไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งห้า และถ้าหากไม่สามารถปฏิบัติตามคำขอดังกล่าวได้ ให้นำที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งห้าตามส่วน
จำเลยทั้งห้าให้การว่า ก่อนตายนายห้อยได้ยกที่ดินพิพาทให้แก่นางละมูล และยกบ้านในที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ซึ่งต่อมาโจทก์ได้ขายบ้านให้แก่นางละมูลแล้ว นางละมูลได้ครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อตนเองตลอดมา ไม่เคยครอบครองแทนหรือร่วมกับโจทก์แต่อย่างใด ส่วนโจทก์เมื่อขายบ้านให้นางละมูลแล้วได้ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่อื่น เมื่อประมาณ 20 ปีมาแล้ว นางละมูลได้ยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยทั้งห้าและในปีพ.ศ. 2520 จำเลยทั้งห้าได้ไปแจ้งการครอบครองที่ดินไว้ครั้นปีพ.ศ. 2530 จำเลยทั้งห้าจึงไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์โจทก์ทราบแต่มิได้คัดค้าน ที่ดินพิพาทมิใช่มรดกของนายห้อยและโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะโจทก์เป็นพระภิกษุจะมาฟ้องขอแบ่งมรดกในฐานะทายาทโดยธรรมไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าไปจดทะเบียนแบ่งที่ดินน.ส.3 ก. เลขที่ 276 ให้แก่โจทก์ จำนวน 8 ไร่ 79 ตารางวาหากจำเลยทั้งห้าไม่ไปจัดการจดทะเบียน ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งห้าแทน หากไม่สามารถจดทะเบียนแบ่งแยกได้ให้นำที่ดินดังกล่าวมาขายทอดตลาด นำเงินมาแบ่งกันระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งห้าตามส่วน จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ในปัญหาว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่า หลังจากนายห้อยบิดาโจทก์ตาย โจทก์และนางละมูลมารดาของจำเลยทั้งห้าได้รับมรดกที่ดินพิพาทมาและได้ร่วมกันหรือแทนกันครอบครองมาตลอดโดยมิได้แบ่งแยก ต่อมาโจทก์ไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุ และภายหลังนางละมูลตาย จำเลยทั้งห้าได้ไปขอออก น.ส.3 ก. สำหรับที่ดินพิพาทในชื่อของจำเลยทั้งห้าฝ่ายเดียว โจทก์ขอให้จำเลยทั้งห้าแบ่งที่ดินพิพาทให้ จำเลยทั้งห้าไม่ยอม ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินพิพาทให้เห็นว่า ตามฟ้องโจทก์เป็นเรื่อง โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งห้าขอให้แบ่งที่ดินพิพาทให้ในฐานะที่โจทก์เป็นเจ้าของรวมอยู่กึ่งหนึ่งมิใช่ในฐานะที่โจทก์เป็นทายาทโดยธรรมเรียกร้องเอาทรัพย์มรดกเพราะเมื่อนายห้อยเจ้ามรดกตาย โจทก์และนางละมูลมารดาจำเลยทั้งห้าได้รับมรดกมาแล้ว ที่ดินพิพาทจึงมิใช่มรดกของเจ้ามรดกอีกต่อไป แต่เป็นทรัพย์สินร่วมกันของโจทก์และนางละมูลมารดาของจำเลยทั้งห้า เมื่อนางละมูลตายส่วนของนางละมูลตกแก่จำเลยทั้งห้า โจทก์ขอแบ่งส่วนของตน จำเลยทั้งห้าไม่ยอม จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอให้แบ่ง แม้โจทก์จะเป็นพระภิกษุ ก็หามีบทกฎหมายห้ามมิให้โจทก์ในฐานะเจ้าของรวมฟ้องจำเลยทั้งห้าไม่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
สำหรับปัญหาในประเด็นข้ออื่น ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ยังมิได้วินิจฉัย และโจทก์มิได้ฎีกาขึ้นมาด้วย จึงเห็นสมควรให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยต่อไป”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาพิพากษาใหม่ในประเด็นที่ยังมิได้วินิจฉัย

Share