คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 558/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำให้การจำเลยว่า จำเลยไม่เคยทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทสัญญาเช่าซื้อจึงเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยส่งมอบรถยนต์และให้จำเลยชดใช้เงินที่จำเลยอ้างว่าได้ผ่อนส่งเป็นค่าเช่าซื้อรถยนต์จำนวน 192,000 บาท ดังนี้เป็นการปฏิเสธฟ้องโจทก์โดยไม่ชัดแจ้ง ไม่มีประเด็นข้อพิพาทในเรื่องค่าเช่าซื้อ โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่าโจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทจากจำเลยด้วยวาจา และโจทก์ชำระค่าเช่าซื้อให้จำเลยรวมเป็นเงิน 192,000 บาทจำเลยให้การต่อสู้เพียงว่า โจทก์ไม่เคยทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทเป็นหนังสือ การเช่าซื้อรถยนต์พิพาทจึงเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง การที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่าจำเลยให้โจทก์เช่ารถยนต์พิพาทเดือนละ 8,000 บาท จึงเป็นการนำสืบนอกเหนือคำให้การและนอกประเด็น.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับสิทธินำรถยนต์จำนวน 1 คัน ร่วมกิจการเดินรถรับส่งคนโดยสารกับบริษัทเอเซียไทรโยคเดินรถ จำกัด ผู้ได้สัมปทานเดินรถยนต์ สาธารณสายกาญจนบุรี – สังขละบุรี โดยโจทก์นำรถยนต์หมายเลขทะเบียน 10-0485 กาญจนบุรี ไปร่วมกิจการเดินรถตามสิทธิ และได้รับหมายเลขคิวรถเลขที่ 41 ต่อมาโจทก์เช่าซื้อรถยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียน 30-0842 กรุงเทพมหานคร จากนายสงวน ชูเลิศ และได้ขอเปลี่ยนหมายเลขทะเบียนใหม่เป็นหมายเลขทะเบียน 10-0769 กาญจนบุรี โจทก์ได้นำรถยนต์คันดังกล่าวร่วมกิจการเดินรถรับส่งคนโดยสารในหมายเลขคิวรถเลขที่ 41 แทนรถคันหมายเลขทะเบียน 10-0485 กาญจนบุรี ต่อมานายสงวนต้องการใช้เงินและได้แจ้งให้โจทก์นำเงินค่าเช่าซื้อส่วนที่เหลือไปชำระให้เสร็จสิ้นในครั้งเดียว โจทก์จึงขอให้จำเลยชำระค่าเช่าซื้อส่วนที่โจทก์ยังค้างชำระทั้งหมดจำนวน 250,000 บาท ให้นายสงวน หลังจากนั้นจำเลยได้ตกลงให้โจทก์เช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าว จากจำเลยอีกต่อหนึ่งโดยโจทก์ชำระค่าเช่าซื้อให้จำเลยเดือนละ 8,000 บาท โจทก์ได้ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่จำเลยตลอดมา ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2527 จนถึงเดือนเมษายน 2529 รวม 24 งวด เป็นเงิน 192,000 บาท ต่อมาในวันที่ 9 พฤษภาคม 2529 จำเลยได้ยึดรถยนต์คันที่โจทก์เช่าซื้อคืนไปโดยที่โจทก์ไม่ผิดสัญญาแต่อย่างใด ทำให้โจทก์เสียหายจากการที่ไม่ได้นำรถยนต์คันดังกล่าวไปรับคนโดยสารตามปกติ ซึ่งมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท ต่อเดือน ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบรถยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียน 10-0769 กาญจนบุรี ให้แก่โจทก์ในสภาพที่ใช้การได้ หากคืนไม่ได้ก็ให้จำเลยชดใช้เงินค่าเช่าซื้อจำนวน 192,000 บาท ให้โจทก์และให้จำเลยถอนรถยนต์คันดังกล่าวออกจากหมายเลขคิวรถเลขที่ 41 ของบริษัทเอเซียไทรโยคเดินรถ จำกัดอันเป็นสิทธิในคิวรถร่วมของโจทก์ และให้จำเลยโอนสิทธิในคิวรถหมายเลขคิวรถเลขที่ 41 ให้แก่โจทก์ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินจำนวน 192,000 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยชำระค่าขาดประโยชน์เดือนละ 10,000 บาทนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยจะส่งมอบรถยนต์หรือชำระเงินให้แก่โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยให้การว่า ที่โจทก์กล่าวอ้างขึ้นมาในฟ้องว่าจำเลยเป็นผู้ให้โจทก์เช่าซื้อรถยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียน 10-0769กาญจนบุรี นั้น โจทก์หามีหลักฐานสัญญามาแสดงแต่อย่างใดไม่อีกทั้งจำเลยกับโจทก์ไม่เคยทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวเป็นหนังสือต่อกัน การเช่าซื้อรถยนต์จึงเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยส่งมอบรถยนต์และให้ชดใช้เงินที่จำเลย (ที่ถูกเป็นโจทก์)อ้างว่าได้ผ่อนส่งเป็นค่าเช่าซื้อจำนวน 192,000 บาท ได้ โจทก์มิได้เป็นผู้รับสิทธิให้นำรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 10-0769 กาญจนบุรีเข้าวิ่งรับส่งคนโดยสารร่วมกับบริษัทเอเซียไทรโยคเดินรถ จำกัดแต่อย่างใด เพราะจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์คันดังกล่าวเป็นผู้ได้รับอนุญาตจากบริษัทดังกล่าวให้นำรถคันพิพาทเข้าวิ่งรับส่งคนโดยสาร ตั้งแต่วันที่ 13 สิงหาคม 2527 เป็นต้นมา โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องที่จะขอให้จำเลยถอนรถคันพิพาทออกจากการเข้าวิ่งร่วมกับบริษัทเอเซียไทรโยคเดินรถ จำกัด ได้ ทั้งฟ้องโจทก์เคลือบคลุมขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 192,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 4สิงหาคม 2529) ไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยฎีกาว่า ที่จำเลยให้การว่าโจทก์จำเลยไม่เคยทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อรถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน 10-0769 กาญจนบุรี สัญญาเช่าซื้อจึงเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยส่งมอบรถยนต์และให้จำเลยชดใช้เงินที่จำเลยอ้างว่าได้ผ่อนส่งเป็นค่าเช่าซื้อรถยนต์จำนวน192,000 บาท ได้นั้น เป็นคำให้การชัดแจ้งอันมีประเด็นนำสืบเรื่องเงินค่าเช่าซื้อจำนวน 192,000 บาท รวมอยู่ด้วยแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในประเด็นข้อนี้โดยอ้างว่ามิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้น จึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นว่า คำให้การดังกล่าวของจำเลยมิได้ปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าโจทก์ได้ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่จำเลยเป็นเงินจำนวน 192,000 บาท ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองไม่เป็นการปฏิเสธฟ้องโจทก์โดยชัดแจ้ง จึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทในเรื่องค่าเช่าซื้อดังกล่าว และศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดประเด็นเรื่องค่าเช่าซื้อไว้ในชั้นชี้สองสถาน จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยในประเด็นข้อนี้จึงชอบแล้ว
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมิได้ตกลงให้โจทก์เช่าซื้อรถยนต์คันพิพาท แต่ตกลงให้โจทก์เช่ารถยนต์เป็นเงินเดือนละ 8,000 บาทและเมื่อโจทก์ได้ใช้รถยนต์คันพิพาทแล้วจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเช่าคืนเห็นว่าโจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่าโจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทจากจำเลยด้วยวาจา และโจทก์ชำระค่าเช่าซื้อให้จำเลยรวมเป็นเงิน192,000 บาท จำเลยให้การต่อสู้เพียงว่า โจทก์ไม่เคยทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทเป็นหนังสือ การเช่าซื้อรถยนต์พิพาทจึงเป็นโมฆะโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ดังนั้น ที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่าจำเลยให้โจทก์เช่ารถยนต์พิพาทเดือนละ 8,000 บาท จึงเป็นการนำสืบนอกเหนือคำให้การและนอกประเด็นซึ่งเมื่อจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ย่อมไม่มีประเด็นนำสืบต่อสู้ ฎีกาของจำเลยในข้อนี้จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share