แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การที่เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมผู้กระทำผิดมีหน้าที่ต้องเบิกความต่อศาลตามความสัจจริงในระหว่างเป็นพยานในคดีที่ผู้กระทำความผิดถูกฟ้อง เป็นหน้าที่อย่างเดียวกับประชาชนทั่วไปหาใช่เป็นหน้าที่โดยตรงอันสืบเนื่องมาจากที่เป็นเจ้าพนักงานผู้จับกุมผู้กระทำความผิดไม่ หน้าที่ที่ต้องเบิกความตามความสัจจริงจึงไม่เป็นการกระทำการในหน้าที่ของเจ้าพนักงานโดยเฉพาะ แม้จำเลยจะให้และรับว่าจะให้เงินแก่ร้อยตำรวจโท ท. กับพวก เพื่อจูงใจเจ้าพนักงานดังกล่าวเบิกความผิดไปจากความจริง ก็ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2544 เวลากลางวันจำเลยทั้งสามร่วมกันให้เงินจำนวน 50,000 บาท แก่ร้อยตำรวจโททักษิณ ภาพสวัสดิ์ กับพวก ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ เพื่อจูงใจให้ร้อยตำรวจโททักษิณกับพวกช่วยเบิกความต่อศาลจังหวัดสตูล ในคดีที่นายนิพิธ ทองนุ่น ถูกร้อยตำรวจโททักษิณกับพวกจับกุมในข้อหาเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ โดยให้ร้อยตำรวจโททักษิณกับพวกให้การต่อศาลให้เป็นประโยชน์แก่นายนิพิธและจำเลยทั้งสามรับว่าจะให้เงินอีกจำนวน 50,000 บาท แก่ร้อยตำรวจโททักษิณหลังจากได้เบิกความต่อศาลแล้ว ซึ่งเป็นการจูงใจให้เจ้าพนักงานกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144, 83 และ 33 ริบของกลาง
จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144 ประกอบมาตรา 83 จำคุกคนละ 1 ปี จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 6 เดือนริบของกลางทั้งหมด
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า โทษจำคุกของจำเลยที่ 3 ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์บรรยายฟ้องว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องจำเลยทั้งสามร่วมกันให้เงินจำนวน 50,000 บาท แก่ร้อยตำรวจโททักษิร ภาคสวัสดิ์ กับพวก ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ เพื่อจูงใจให้ร้อยตำรวจโททักษิณกับพวกเบิกความต่อศาลจังหวัดสตูล ในคดีที่นายนิพิธ ทองนุ่น ถูกร้อยตำรวจโททักษิณกับพวกจับกุม ในข้อหาเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษโดยให้ร้อยตำรวจโททักษิณกับพวกให้การต่อศาลให้เป็นประโยชน์แก่นายนิพิธ และจำเลยทั้งสามรับว่าจะให้เงินอีก 50,000 บาท แก่ร้อยตำรวจโททักษิณ หลังจากที่เบิกความต่อศาลแล้ว ซึ่งเป็นการจูงใจให้เจ้าพนักงานกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ เห็นว่า การที่เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมผู้กระทำผิดมีหน้าที่ต้องเบิกความต่อศาลตามความสัจจริงในระหว่างเป็นพยานในคดีที่ผู้กระทำความผิดถูกฟ้องนั้น เป็นหน้าที่อย่างเดียวกับประชาชนทั่วไป หาใช่เป็นหน้าที่โดยตรงอันสืบเนื่องมาจากที่เป็นเจ้าพนักงานผู้จับกุมผู้กระทำความผิดไม่ หน้าที่ที่ต้องเบิกความตามความสัจจริงจึงไม่เป็นการกระทำการในหน้าที่ของเจ้าพนักงานโดยเฉพาะ แม้จำเลยทั้งสามจะให้และรับว่าจะให้เงินแก่ร้อยตำรวจทักษิณกับพวก เพื่อจูงใจเจ้าพนักงานดังกล่าวเบิกความผิดไปจากความจริง จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144ส่วนของกลางนั้น เมื่อการกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นความผิด จึงต้องคืนของกลางแก่เจ้าของ ข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะไม่ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และเป็นเหตุในส่วนในลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 3 ที่ไม่ได้ฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยทั้งสาม คืนของกลางแก่เจ้าของ”