แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 เป็นจดหมายที่จำเลยมีถึงโจทก์และจำเลยได้บันทึกไว้ด้านหลังของจดหมายแต่ละฉบับนั้นว่า จำเลยได้รับเงินจำนวนที่ขอยืมในแต่ละฉบับนั้นไว้เป็นการถูกต้องแล้วพร้อมกับลงลายมือชื่อ วันเดือนปีไว้ด้วย เอกสารหมาย จ.1 และ จ.2จึงเป็นเพียงพยานหลักฐานแห่งการกู้ยืมตาม ป.พ.พ. มาตรา 653อย่างหนึ่งเท่านั้น หาใช่เป็นลักษณะแห่งตราสารการกู้ยืมเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ในแต่ละฉบับนั้นโดยตรงอันจะพึงต้องปิดอากรแสตมป์ไม่ศาลจึงรับฟังเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 เป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2522 จำเลยได้ยืมเงินโจทก์ 130,000 บาท กำหนดชำระคืนภายใน 2 เดือน ปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายเอกสารท้ายฟ้องหมาย 1 ต่อมาวันที่ 1 มีนาคม 2522 จำเลยยืมเงินโจทก์อีก 50,000 บาท ดังปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายเอกสารท้ายฟ้องหมาย 2 ครั้น ครบกำหนดจำเลยไม่ยอมชำระหนี้ โจทก์ได้มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายให้แก่โจทก์ภายในกำหนด 7 วัน แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 255,395.83 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 180,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ได้รับความยินยอมจากภริยาให้ฟ้องคดี จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เอกสารที่โจทก์นำมาฟ้องไม่ใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืมและไม่ใช่สัญญากู้ทั้งไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร โจทก์ไม่มีสิทธินำมาใช้เป็นพยานหลักฐาน เอกสารท้ายฟ้องหมาย 1 เป็นจดหมายของจำเลยและมีใบรับเงินด้านหลังด้วยโดยคิดว่า วันรุ่งขึ้นจะได้รับเงินตามจดหมายดังกล่าว แล้วฝากบุคคลภายนอกไป แต่จำเลยไม่ได้รับเงินและไม่ได้จดหมายคืน ส่วนเอกสารท้ายฟ้องหมาย 2 เป็นเรื่องการติดต่อของผู้อื่นในเรื่องเงินผ่านบัญชี มิใช่เป็นเรื่องของโจทก์จำเลย โจทก์ไม่เคยให้จำเลยยืมเงินจำนวนดังกล่าว เหตุที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเนื่องจากโกรธที่ถูกภริยาจำเลยฟ้องเรื่องผิดสัญญา หากฟังว่าเอกสารท้ายฟ้องเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม ก็เป็นหนี้ที่ไม่มีกำหนดเวลาชำระ จะต้องบอกกล่าวทวงถามก่อน จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือบอกกล่าวทวงถามก่อนฟ้องคดีโจทก์ยังไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 180,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากต้นเงิน 130,000 บาท นับแต่วันที่ 9 เมษายน 2522 และจากต้นเงิน 50,000 บาท นับแต่วันที่13 พฤศจิกายน 2529 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกปัญหาที่ว่า เอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยผู้ยืมเป็นสำคัญหรือไม่ขึ้นวินิจฉัยก่อน เห็นว่า แม้ตามคำฟ้องของโจทก์จะกล่าวอ้างเพียงว่า จำเลยยืมเงินโจทก์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2522 และต่อมายืมเงินโจทก์ครั้งที่สองอีกเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2522 ก็ตาม แต่โจทก์ก็ได้กล่าวอ้างถึงเอกสารที่จำเลยติดต่อขอยืมเงินจากโจทก์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2522 และครั้งที่สองเมื่อวันที่ 28กุมภาพันธ์ 2522 โดยส่งสำเนาภาพถ่ายเอกสารมาพร้อมกับคำฟ้องอันถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งแห่งคำฟ้องในชั้นพิจารณา โจทก์ได้ยื่นบัญชีพยานโดยขอระบุพยานอันดับ 2 และ 3 ว่าหลักฐานการกู้ยืมเงินจำนวน 130,000 บาท ฉบับลงวันที่ 8 และ 9 กุมภาพันธ์ 2522 และหลักฐานการกู้ยืมเงินจำนวน 50,000 บาท ฉบับลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์2522 และลงวันที่ 1 มีนาคม 2522 และส่งอ้างเอกสารดังกล่าวเป็นพยาน ตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 เอกสารทั้งด้านหน้าและด้านหลังของแต่ละฉบับดังกล่าวเป็นเรื่องเดียวต่อเนื่องกัน ถือได้ว่าเป็นเอกสารฉบับเดียวศาลจึงรับฟังข้อความพยานเอกสารหมาย จ.1 และจ.2 ที่ปรากฏอยู่ทั้งหมดในแต่ละฉบับนั้นได้ทั้งตามประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ในข้อ 2 ได้กำหนดไว้ว่าเอกสารท้ายฟ้องหมาย 1และ 2 เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือหรือไม่ซึ่งตามสำเนาภาพถ่ายเอกสารท้ายฟ้องหมาย 1 และ 2 แต่ละฉบับก็มีทั้งด้านหน้าและด้านหลัง จึงหาได้เป็นการที่โจทก์นำสืบนอกคำฟ้องและนอกประเด็นดังที่จำเลยฎีกาไม่ จำเลยเบิกความรับว่า เป็นผู้เขียนเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 ทั้งด้านหน้าและด้านหลังส่งให้แก่โจทก์ ข้อความตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 มีใจความว่า จำเลยขอยืมเงินจากโจทก์ และรับว่าได้รับเงินยืมไว้เป็นการถูกต้องแล้วกับจำเลยได้ลงลายมือชื่อไว้ ถือได้ว่าโจทก์มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยผู้ยืมเป็นสำคัญ โจทก์จึงฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 ส่วนปัญหาที่ว่า เอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 จะต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรจึงจะใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ได้นั้น เห็นว่า เอกสารหมาย จ.1 และ จ.2เป็นจดหมายที่จำเลยมีถึงโจทก์และจำเลยได้บันทึกไว้เป็นด้านหลังของจดหมายแต่ละฉบับนั้นว่า จำเลยได้รับเงินจำนวนที่ขอยืมในแต่ละฉบับนั้นไว้เป็นการถูกต้องแล้ว พร้อมกับลงลายมือชื่อวันเดือนปีไว้ด้วยเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 ดังกล่าวจึงเป็นเพียงหลักฐานแห่งการกู้ยืมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 อย่างหนึ่งเท่านั้นหาใช่เป็นลักษณะแห่งตราสารการกู้ยืมเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ในแต่ละฉบับนั้นโดยตรง อันจะพึงต้องปิดอากรแสตมป์ไม่ ศาลจึงรับฟังเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 เป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ได้…”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 50,000 บาท นับแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน2529 จนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.