คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1915/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องคดีส่วนอาญา และมีคำสั่งไม่รับฟ้องคดีส่วนแพ่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ประทับฟ้องโจทก์รวมทั้งคดีส่วนแพ่งไว้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ดังนี้ คำสั่งศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 จำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกาในส่วนอาญา แต่มีสิทธิฎีกาสำหรับคดีส่วนแพ่งได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้เช่านาของจำเลย ตามมาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 โจทก์มีสิทธิเช่านาจำเลยต่อไปอีก 6 ปี จำเลยกับพวกได้ร่วมกันบุกรุกเข้าไปไถหว่าน ทำให้โจทก์ไม่อาจทำนาในปี พ.ศ. 2518 – 2519เป็นการรบกวนการครอบครองที่นาซึ่งโจทก์เป็นผู้เช่าโดยปกติสุข และทำให้โจทก์ไม่อาจเช่านาได้ครบ 6 ปี นับแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2517 ที่พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 ใช้บังคับ โจทก์เสียหายคิดเป็นเงิน 9,000 บาท ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 365 พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาพ.ศ. 2517 มาตรา 45, 28 ให้จำเลยให้โจทก์เช่านาพิพาทเป็นเวลา 6 ปี นับแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2517 ห้ามจำเลยรบกวนการครอบครอง หากโจทก์ไม่อาจเข้าทำนาได้ ก็ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายปีละ 9,000 บาทจนกว่าโจทก์จะเข้าทำนาแปลงพิพาทได้

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้องคดีส่วนอาญา และมีคำสั่งไม่รับฟ้องคดีส่วนแพ่ง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีโจทก์มีมูล พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นประทับฟ้องโจทก์ รวมทั้งคดีส่วนแพ่งไว้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในส่วนอาญา เห็นว่าคดีนี้อยู่ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 บัญญัติว่า คำสั่งศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาด ฉะนั้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ว่าคดีมีมูลย่อมถึงที่สุด จำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกา

สำหรับคดีส่วนแพ่ง เห็นว่า จำเลยมีสิทธิฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247 และเห็นว่าคดีแพ่งเป็นคดีที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องรวมมาในคดีอาญาได้

พิพากษายืน

Share