คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8154/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความผิดสองกระทงหลังโจทก์ฟ้องเฉพาะฐานปลอมเอกสารมิได้ฟ้องฐานใช้เอกสารปลอมด้วย ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264,266(4),268,335(7)(11),32,33,83,91 และขอให้ริบของกลางคือเช็ค 2 ฉบับ ที่จำเลยทั้งสองลักไปและทำการปลอมด้วย แต่ศาลล่างทั้งสองมิได้มีคำวินิจฉัยว่าจะริบของกลางนั้นหรือไม่ คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186(9) แม้คู่ความจะมิได้ฎีกาในปัญหานี้ แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 225 และการริบทรัพย์สินของกลางนี้ไม่เป็นการเพิ่มโทษจำเลย จึงไม่ต้องห้ามตามมาตรา 212
เช็คของกลางเป็นทรัพย์ที่จำเลยทั้งสองลักไปแล้วทำการปลอมเช็คจึงให้ริบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264, 266(4), 268, 335(7)(11), 32, 33, 83, 91 ริบของกลาง

จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 2 โดยให้โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีใหม่ ภายใน 15 วัน

ระหว่างพิจารณา นางบุญชู ชูสำโรง ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7)(11) วรรคสาม (ที่ถูกคือวรรคสอง), 264, 266(4), 268 ประกอบด้วยมาตรา 83 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันลักทรัพย์ของนายจ้าง 2 กระทง ลงโทษจำคุกกระทงละ 2 ปี รวมจำคุก 4 ปี ฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม ลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสอง รวม 12 กระทง จำคุกกระทงละ 3 ปี รวมจำคุก 36 ปี คงจำคุกจำเลยที่ 1 รวม 40 ปี จำเลยที่ 1ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 20 ปี

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบา

ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้วางโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ฐานใช้เอกสารปลอมกระทงละ 2 ปี 12 กระทง รวมเป็นจำคุก 24 ปีรวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 28 ปี เมื่อลดโทษให้จำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้วคงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด14 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้ลงโทษแต่ละข้อหาเบาลงอีกนั้น เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 6 กำหนดโทษแต่ละข้อหาเหมาะสมแก่พฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 แล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะแก้ไขให้เบาลงอีก แต่ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสองรวม 12 กระทงนั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ฐานนี้เพียง 10 กระทงโดย 2 กระทงหลังโจทก์ฟ้องเฉพาะฐานปลอมเอกสารมิได้ฟ้องฐานใช้เอกสารปลอมด้วย ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษ 2 กระทงหลังฐานใช้เอกสารปลอมเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225

อนึ่ง คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 266(4), 268, 335(7)(11), 32, 33, 83, 91 และขอให้ริบของกลางคือเช็ค 2 ฉบับ ที่จำเลยทั้งสองลักไปและทำการปลอมด้วย แต่ศาลล่างทั้งสองมิได้มีคำวินิจฉัยว่าจะริบของกลางนั้นหรือไม่ คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186(9) แม้คู่ความจะมิได้ฎีกาในปัญหานี้ แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 และการริบทรัพย์สินของกลางนี้ไม่เป็นการเพิ่มโทษจำเลย จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 และเช็คของกลางเป็นทรัพย์ที่จำเลยทั้งสองลักไปแล้วทำการปลอมเช็ค จึงให้ริบ

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสอง รวม 10 กระทง และลงโทษฐานปลอมเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266(4) รวม 2 กระทง เฉพาะฐานปลอมเอกสารจำคุกกระทงละ 1 ปี ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กระทงละกึ่งหนึ่งแล้วคงจำคุกกระทงละ 6 เดือน รวมทุกกระทงแล้ว คงจำคุก 12 ปี 12 เดือนและให้ริบของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6

Share