คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3602/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมของจำเลยนั้น จำเลยอ้าง เหตุผลว่าเพิ่งได้พบกับพยานเท่านั้น ยังไม่อาจถือได้ว่าจำเลย ได้แสดงเหตุอันสมควรที่ไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำพยานที่จำเลย ขออ้างพิ่มเติมนั้นมาสืบหรือไม่ทราบว่าพยานนั้นได้มีอยู่ หรือมีเหตุอันสมควรอื่นใด กรณีจึงไม่มีเหตุสมควรอนุญาต ให้จำเลยอ้างพยานเพิ่มเติมได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคสี่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้แก่นางสาวสุวิมล กุลยานนท์ แต่มีการจดทะเบียนให้โจทก์ยังคงมีสิทธิเก็บกินในที่ดินตลอดชีวิต จำเลยเช่าที่ดินดังกล่าวบางส่วนเนื้อที่ประมาณ 18 ตารางวา จากโจทก์เพื่อปลูกบ้านอยู่อาศัยเมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าอีกต่อไป โจทก์จึงแจ้งให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 1637 ห้ามเกี่ยวข้อง ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 27,000 บาท และค่าเสียหายอีกเดือนละ 4,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินดังกล่าว
จำเลยให้การว่า จำเลยครอบครองที่ดินดังกล่าวโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองต่อมาจำเลยได้ยกที่ดินพิพาทให้มัสยิดมหานาค และนางฉ่า มานยีมุด ก็ยกที่ดินโฉนดเลขที่ 1637 ส่วนของตนให้มัสยิดมหานาค โดยมีข้อตกลงขอใช้สิทธิอยู่อาศัยในที่ดินตลอดไปโจทก์รู้แล้วได้คบคิดกับนางฉ่าฉ้อฉลจำเลยโดยให้นางฉ่าโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์โดยไม่มีค่าตอบแทนเพื่อให้โจทก์ใช้สิทธิฟ้องขับไล่จำเลยโจทก์จึงไม่มีสิทธิโอนให้นางสาวสุวิมล กุลยานนท์ และนางสาวสุวิมลก็ไม่มีสิทธิจดทะเบียนสิทธิเก็บกินบนที่ดินให้แก่โจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยลงชื่อเป็นผู้เช่าในสัญญาเช่าก็ยังไม่มีการกรอกข้อความ สัญญาเช่าที่ดินพิพาทจึงตกเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้ขับไล่จำเลยกับบริวารให้รื้อถอนบ้านเลขที่ 100/1 ตรอกสุเหร่าจักรพงษ์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานครออกไปจากที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 1367 (ที่ถูก 1637) ตำบลชนะสงคราม อำเภอชนะสงคราม ในพระนคร กรุงเทพมหานคร และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 1,800 บาท และค่าเสียหายอีกเดือนละ 400 บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 13 ตุลาคม 2538) เป็นต้นไปให้แก่โจทก์จนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดิน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามฎีกาของจำเลยมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยเฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาขึ้นมาเพียงข้อเดียวว่า การที่ศาลไม่อนุญาตให้จำเลยระบุพยานเพิ่มเติมภายหลังจากที่โจทก์สืบพยานเสร็จและจำเลยได้สืบพยานของจำเลยไปสามปากแล้วนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่าการที่จำเลยยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมในระยะเวลาดังกล่าวจำเลยจะต้องแสดงถึงเหตุอันสมควรให้ฟังได้ว่าจำเลยไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำพยานหลักฐานบางอย่างมาสืบเพื่อประโยชน์ของตนหรือจำเลยไม่ทราบว่าพยานหลักฐานได้มีอยู่หรือมีเหตุอันสมควรอื่นใดไว้ในคำร้องตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคสี่ แต่ตามคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมของจำเลยระบุเพียงว่า จำเลยเพิ่งได้พบกับพยานเท่านั้น ยังไม่อาจถือได้ว่าจำเลยได้แสดงเหตุอันสมควรที่จำเลยไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำพยานที่จำเลยขออ้างเพิ่มเติมนั้นมาสืบหรือไม่ทราบว่าพยานนั้นได้มีอยู่หรือมีเหตุอันสมควรอื่นใดกรณีจึงไม่มีเหตุอันสมควรอนุญาตให้จำเลยจ้างพยานเพิ่มเติมได้ ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลยดังกล่าว จึงชอบแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share