คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3320/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 และที่ 4 ฎีกาว่า คดีนี้มีทุนทรัพย์สูงและ เป็น คดีมีข้อยุ่งยาก ศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายความให้โจทก์ใช้แทน จำเลยที่ 1 และที่ 4 คนละ 1,000,000 บาท เหมาะสมแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้โจทก์ใช้ค่าทนายความ ในศาลชั้นต้นแทนจำเลยที่ 1 และที่ 4 คนละ 50,000 บาท จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และในชั้นอุทธรณ์จำเลยที่ 1 และที่ 4 ทำคำแก้อุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์มิได้กำหนดให้โจทก์ใช้ค่าทนายความ แทนจำเลยที่ 1 และที่ 4 นั้น เป็นฎีกาในปัญหาเรื่อง ค่าฤชาธรรมเนียมแต่อย่างเดียว และเป็นการโต้แย้งดุลพินิจ ของศาลอุทธรณ์ในการกำหนดค่าทนายความที่โจทก์ต้องใช้แทน จำเลยที่ 1 และที่ 4 นอกจากนี้ค่าทนายความในศาลชั้นต้นตาม ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้โจทก์ใช้แทนจำเลยที่ 1 และที่ 4 คนละ 50,000 บาท ก็เป็นจำนวนที่ศาลอุทธรณ์เห็นสมควร ระหว่างอัตราขั้นต่ำและอัตราขั้นสูงดังที่ระบุไว้ในตาราง 6 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ข้ออ้างของจำเลยที่ 1 และที่ 4 ดังกล่าวจึงมิได้ยกเหตุว่าค่าฤชาธรรมเนียมนั้นกำหนด หรือคำนวณไม่ถูกต้องตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 168 แต่อย่างใด จึงเป็นฎีกาที่ต้องห้าม ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้เพิกถอนนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1905 และ 415 ตำบลท่าแร้ง อำเภอบางเขนกรุงเทพมหานคร ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 และที่ 4 กับให้จดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวคืนแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่ปฏิบัติตาม ก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 3 และที่ 4 หากจำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่สามารถโอนที่ดินดังกล่าวคืนโจทก์ก็ขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 130,000,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 3790/2528 ของศาลชั้นต้นและฟ้องโจทก์ขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 3790/2528 ของศาลชั้นต้น โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ให้การและฟ้องแย้งว่า คดีโจทก์ขาดอายุความและฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์อายัดที่ดินโฉนดเลขที่ 415 ของจำเลยที่ 4 โดยไม่มีอำนาจตามกฎหมายทำให้จำเลยที่ 4 ไม่สามารถเข้าครอบครองและทำผลประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวได้ ซึ่งคิดเป็นค่าเสียหายไม่น้อยกว่าเดือนละ 1,000,000 บาท จึงขอคิดค่าเสียหายนับแต่วันที่โจทก์อายัดที่ดินถึงวันฟ้องรวม 2 เดือน เป็นเงิน 2,000,000 บาท และต่อไปอีกเดือนละ 1,000,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง และขอให้เพิกถอนคำขออายัดที่ดินโฉนดเลขที่ 415 ตำบลท่าแร้ง อำเภอบางเขน กรุงเทพมหานคร ของโจทก์ ห้ามโจทก์รบกวนการครอบครองและใช้สิทธิในที่ดินดังกล่าวของจำเลยที่ 4 หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ต่อไปกับให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายจำนวน 2,000,000 บาท และต่อไปอีกเดือนละ1,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะถอนคำอายัด
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 4 ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 415 โดยไม่สุจริตและไม่ได้เสียค่าตอบแทน อันเป็นการฉ้อฉลการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 415 ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 4 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุมจำเลยที่ 4 ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายตามฟ้องแย้งจากโจทก์ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสี่ และพิพากษายกฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลยที่ 4 ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสี่โดยกำหนดค่าทนายความคนละ 1,000,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ถึงแก่ความตายจำเลยที่ 2 และที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้ศาลหมายเรียกนางสาวสมศรี ไกรสุวรรณสาร บุตรของโจทก์เข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ผู้มรณะ ศาลอุทธรณ์อนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความในศาลชั้นต้นแทนจำเลยทั้งสี่คนละ 50,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 และที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยที่ 1 และที่ 4 ฎีกาว่าคดีนี้มีทุนทรัพย์สูงและเป็นคดีมีข้อยุ่งยาก ศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายความให้โจทก์ใช้แทนจำเลยที่ 1 และที่ 4 คนละ1,000,000 บาท เหมาะสมแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้โจทก์ใช้ค่าทนายความในศาลชั้นต้นแทนจำเลยที่ 1 และที่ 4 คนละ 50,000 บาท จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และในชั้นอุทธรณ์จำเลยที่ 1 และที่ 4 ทำคำแก้อุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์มิได้กำหนดให้โจทก์ใช้ค่าทนายความแทนจำเลยที่ 1 และที่ 4 นั้น เห็นว่าฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 4 ดังกล่าวเป็นฎีกาในปัญหาเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมแต่อย่างเดียวข้ออ้างในฎีกาของจำเลยที่ 1และที่ 4 ล้วนเป็นการโต้แย้งดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ในการกำหนดค่าทนายความที่โจทก์ผู้แพ้คดีต้องใช้แทนจำเลยที่ 1 และที่ 4 โดยพิจารณาตามความยากง่ายแห่งคดีกับเทียบดูเวลาและงานที่ทนายจำเลยที่ 1 และที่ 4 ต้องปฏิบัติในการว่าคดีนี้ นอกจากนี้ค่าทนายความในศาลชั้นต้นตามที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้โจทก์ใช้แทนจำเลยที่ 1 และที่ 4 คนละ 50,000 บาท ก็เป็นจำนวนที่ศาลอุทธรณ์เห็นสมควร ระหว่างอัตราขั้นต่ำและอัตราขั้นสูงดังที่ระบุไว้ในตาราง 6 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ข้ออ้างของจำเลยที่ 1 และที่ 4 ดังกล่าวจึงมิได้ยกเหตุว่าค่าฤชาธรรมเนียมนั้นกำหนดหรือคำนวณไม่ถูกต้องตามกฎหมายดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 168 แต่อย่างใด ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 4 เป็นฎีกาที่ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาจำเลยที่ 1 และที่ 4

Share