คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 705/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยมิได้อุทธรณ์การประเมินหรือขอให้ผู้มีอำนาจตามที่ระบุไว้ในมาตรา 25 แห่ง พ.ร.บ. ภาษีโรงเรือนและที่ดินพุทธศักราช 2475 พิจารณาการประเมินนั้นใหม่ จำเลยจึงไม่อาจนำคดีขึ้นสู่ศาลได้ตามมาตรา 31 และการนำคดีขึ้นสู่ศาลหมายความรวมถึงการต่อสู้คดีเมื่อถูกฟ้องด้วย.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ในการชำระภาษีโรงเรือนและที่ดิน จำเลยยื่นแบบแจ้งรายการเพื่อเสียภาษีประจำปีภาษี 2525 ถึง 2528 เพียง87,300 บาท โจทก์ทำการตรวจสอบแล้วปรากฏว่า จำเลยมีเงินได้จากการให้เช่าอาคารตึกแถวและที่ดิน 9 คูหา รวม 181,125บาท จึงทำการประเมินให้จำเลยชำระภาษีรวมเงินเพิ่ม24,904.68 บาท และแจ้งการประเมินให้จำเลยทราบแล้ว จำเลยไม่อุทธรณ์การประเมิน ขอให้บังคับจำเลยชำระภาษีจำนวนดังกล่าวให้โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง แบบแจ้งรายการเพื่อเสียภาษีและจำนวนเงินที่ปรากฏในแบบ เจ้าหน้าที่ของโจทก์จัดทำขึ้นเอง การประเมินภาษีของโจทก์ไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คู่ความแถลงรับกันว่า จำเลยมิได้อุทธรณ์การประเมินภาษีตามที่โจทก์ฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินภาษีอากร 24,904.68บาทให้แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ศาลภาษีอากรกลางรับอุทธรณ์ของจำเลยในข้อที่ว่า ศาลภาษีอากรกลางมิได้ดำเนินกระบวนพิจารณาและชี้ขาดคดีตามที่จำเลยให้การต่อสู้ว่า เจ้าพนักงานนำหลักฐานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายมาประเมินให้จำเลยเสียภาษีกับปัญหาที่ว่า จำนวนภาษีที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยชำระยังไม่ถูกต้องเพราะจำเลยมีห้องให้เช่าเพียง 9ห้อง แต่เจ้าพนักงานกลับประเมินให้จำเลยเสียภาษีถึง 10ห้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ‘ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าศาลภาษีอากรกลางมิได้ดำเนินกระบวนพิจารณาชี้ขาดตามที่จำเลยให้การต่อสู้นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรพิจารณาแล้วเห็นว่าคดีนี้จำเลยมิได้อุทธรณ์การประเมินหรือขอให้ผู้มีอำนาจตามที่ระบุไว้ในมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475 พิจารณาการประเมินนั้นใหม่ จำเลยจึงไม่อาจนำคดีขึ้นสู่ศาลเพื่อแสดงให้ศาลเห็นว่าการประเมินนั้นไม่ถูก เพราะไม่มีคำชี้ขาดของผู้มีอำนาจตามมาตรา 25 อันเป็นเงื่อนไขที่จะทำให้จำเลยนำคดีขึ้นสู่ศาลได้ ดังที่มาตรา 31 พระราชบัญญัติฉบับเดียวกันบัญญัติไว้ เนื่องจากการนำคดีขึ้นสู่ศาลก็เพื่อวัตถุประสงค์จะให้เห็นว่าการประเมินนั้นไม่ถูก การนำคดีขึ้นสู่ศาลจึงหมายความรวมถึงการฟ้องร้องและการต่อสู้คดีเมื่อถูกฟ้องด้วย เมื่อจำเลยนำคดีขึ้นสู่ศาลไม่ได้ดังกล่าวมาแล้ว จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะให้การต่อสู้ว่าการประเมินของโจทก์ไม่ชอบไม่ถูกต้องดังที่ให้การต่อสู้ไว้ฉะนั้นในการพิจารณาคดีของศาลภาษีอากรกลางจึงต้องถือว่าไม่มีประเด็นเหล่านั้น การที่ศาลภาษีอากรกลางมิได้หยิบยกประเด็นเหล่านั้นขึ้นวินิจฉัยชี้ขาดคดีจึงชอบแล้ว อุทธรณ์จำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น และที่จำเลยอุทธรณ์ว่า จำนวนเงินภาษีที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยชำระให้โจทก์ไม่ถูกต้องนั้น เมื่อปรากฏว่า ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยชำระภาษีเป็นจำนวนเงินเท่ากับผลของการประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ จึงเป็นจำนวนที่ยุติแล้ว จำเลยจะยกขึ้นอุทธรณ์โต้เถียงอีกมิได้เช่นเดียวกันศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่รับวินิจฉัย’
พิพากษายืน.

Share