แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การรับช่วงสิทธิเป็นไปโดยอำนาจของกฎหมาย ส่วนการ เกิดสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยเป็นไปตามข้อกำหนดของ กรมธรรม์ประกันภัยที่จำเลยตกลงไว้กับผู้เอาประกันภัย ดังนี้ เมื่อพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 มิได้มีข้อกำหนดถึงเรื่องการรับช่วงสิทธิไว้โดยเฉพาะ หลักในเรื่องการรับช่วงสิทธิมีอย่างไรจึงย่อมเป็นไปตาม บทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันที่ บ. ขับตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535ส่วนจำเลยเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันที่ ส. ขับตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 เช่นกันขณะเกิดเหตุจำเลยเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันที่ ส. ขับโดยมีเงื่อนไขตามกรมธรรม์ประกันภัยว่า จำเลยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลภายนอกที่ได้รับความเสียหายต่อ ชีวิตร่างกาย และทรัพย์สินในนามของผู้เอาประกันภัยแทน ผู้เอาประกันภัย อันเกิดขึ้นเนื่องจากความประมาทของ ผู้ขับรถยนต์ที่จำเลยได้รับประกันภัยไว้ ดังนั้น เมื่อ ส. ขับรถยนต์ที่จำเลยรับประกันภัยเฉี่ยวชนกับรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยด้วยความประมาทของ ส. ฝ่ายเดียวจำเลยจึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ บ. ซึ่งโดยสารมาในรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยและได้รับบาดเจ็บจากเหตุดังกล่าว ตามข้อกำหนดของกรมธรรม์ประกันภัยนั้น และเมื่อโจทก์เข้ามา ชดใช้ค่าเสียหายส่วนนี้ให้แก่ บ. ไปแล้ว โจทก์ย่อมรับช่วงสิทธิเรียกร้องของ บ. ที่มีต่อจำเลย ไล่เบี้ยเอาจากจำเลยผู้รับประกันภัยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์รับจ้างสาธารณะยี่ห้อแดวู คันหมายเลขทะเบียน 8 ท-8262 กรุงเทพมหานครไว้จากบริษัทประสิทธิพรธุรกิจ จำกัด ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 มีกำหนดระยะเวลาคุ้มครอง1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2538 สิ้นสุดวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2539 จำเลยได้รับประกันภัยรถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า คันหมายเลขทะเบียน 6 ย-9011 กรุงเทพมหานคร จากผู้เอาประกันภัย โดยมีเงื่อนไขว่า จำเลยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้บุคคลภายนอกที่ได้รับความเสียหายต่อชีวิตร่างกายและทรัพย์สินในนามของผู้เอาประกันภัยอันเกิดขึ้นเนื่องจากความประมาทของผู้ขับรถยนต์ที่จำเลยรับประกันภัย เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2538 เวลา 23.30 นาฬิกา นายบุญลักษณ์ ทองสุข ได้ขับรถยนต์รับจ้างสาธารณะยี่ห้อแดวู คันหมายเลขทะเบียน 8 ท-8262กรุงเทพมหานคร ไปตามถนนสุขุมวิท จากทางด้านแยกพระโขนงไปแยกบางนา ขณะเดียวกันนายสุชิน พ่วงอินทร์หรือพ่วงจันทร์ได้ขับรถยนต์กระบะคันที่จำเลยรับประกันภัยโดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยมาตามถนนสุขุมวิท จะขับรถเข้าซอยสุขุมวิท 81นายสุชินขับรถด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังโดยไม่หยุดรถให้รถในถนนสุขุมวิทผ่านไปก่อน กลับขับรถตัดเข้าซอยสุขุมวิท 81 ตัดหน้ารถยนต์ที่นายบุญลักษณ์ขับเป็นเหตุให้เกิดการเฉี่ยวชน ความประมาทครั้งนี้เกิดจากนายสุชินเป็นเหตุให้นางสาวเบญญลักษณ์ได้รับบาดเจ็บเสียค่ารักษาพยาบาลเป็นเงิน 19,907 บาท โจทก์ได้จ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นให้ นางสาวเบญญลักษณ์ 10,000 บาท จึงได้รับช่วงสิทธิเรียกคืนจากจำเลย แต่จำเลยไม่ยอมชำระขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 11,437 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีจากต้นเงิน 10,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากโจทก์เป็นผู้รับประกันภัยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถพ.ศ. 2535 ซึ่งจะมีสิทธิได้รับช่วงสิทธิไล่เบี้ยเฉพาะกรณีความเสียหายเกิดจากการกระทำของบุคคลภายนอกที่เกิดเพราะความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของเจ้าของหรือผู้ขับรถยนต์ดังกล่าวเป็นฝ่ายต้องรับผิดในอุบัติเหตุเท่านั้นพระราชบัญญัติดังกล่าวมิได้ให้สิทธิไล่เบี้ยจากผู้รับประกันภัยรถยนต์คันที่ก่อเหตุละเมิดในค่าเสียหายเบื้องต้น และมิได้บัญญัติให้นำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัยค้ำจุนมาใช้บังคับ จำเลยจึงมิต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์จำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยยอมรับข้อเท็จจริงตามฟ้องของโจทก์ทั้งหมด ยกเว้นแต่เพียงว่าจำเลยมิได้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์กระบะคันหมายเลขทะเบียน 6 ย-9011 กรุงเทพมหานคร แต่จำเลยรับประกันภัยรถยนต์กระบะนั้นไว้ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 ซึ่งโจทก์ก็ยอมรับว่า จำเลยรับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถพ.ศ. 2535 ขอให้ศาลวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องตามที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้หรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 10,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 12 กรกฎาคม 2538 จนถึงวันที่ชำระเสร็จแก่โจทก์ เฉพาะดอกเบี้ยถึงวันฟ้องคำนวณแล้วไม่ให้เกิน 1,437 บาท ตามคำขอของโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำรับของคู่ความว่า ขณะเกิดเหตุโจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 8 ท-8262 กรุงเทพมหานคร ไว้จากบริษัทประสิทธิพรธุรกิจ จำกัด ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 ส่วนจำเลยเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 6 ย-9011 กรุงเทพมหานคร ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 เช่นกันโดยมีเงื่อนไขตามกรมธรรม์ประกันภัยว่าจำเลยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกที่ได้รับความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน ในนามของผู้เอาประกันภัยแทนผู้เอาประกันภัยอันเกิดขึ้นเนื่องจากความประมาทของผู้ขับขี่รถยนต์ที่จำเลยได้รับประกันภัยไว้เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2538 เวลา 23.30 นาฬิกานายบุญลักษณ์ ทองสุข ได้ขับรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยมาตามถนนสุขุมวิทมุ่งหน้าแยกบางนาโดยมีนางสาวเบญญลักษณ์ ตันชวลิตนั่งโดยสารมาด้วย เมื่อมาถึงบริเวณปากซอยสุขุมวิท 81 นายสุชิน พ่วงอินทร์หรือพ่วงจันทร์ได้ขับรถยนต์คันที่จำเลยรับประกันภัยไว้ ตัดหน้ารถยนต์ที่นายบุญลักษณ์ขับมาเพื่อเข้าซอยสุขุมวิท 81 อย่างกะทันหันเป็นเหตุให้เกิดการเฉี่ยวชนกันขึ้น เหตุเกิดจากความประมาทของนายสุชินฝ่ายเดียว และทำให้นางสาวเบญญลักษณ์ได้รับบาดเจ็บเสียค่ารักษาพยาบาล 19,907 บาท โจทก์ได้ชำระค่าเสียหายเบื้องต้นจำนวน 10,000 บาท ให้นางสาวเบญญลักษณ์ไปแล้ว จึงมาทวงถามให้จำเลยชดใช้เงินจำนวนนี้แก่โจทก์ เห็นว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันที่นายสุชินขับ โดยมีเงื่อนไขตามกรมธรรม์ประกันภัยว่า จำเลยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลภายนอกที่ได้รับความเสียหายต่อชีวิตร่างกาย และทรัพย์สินในนามของผู้เอาประกันภัยแทนผู้เอาประกันภัย อันเกิดขึ้นเนื่องจากความประมาทของผู้ขับรถยนต์ที่จำเลยได้รับประกันภัยไว้ดังนั้น เมื่อนายสุชินขับรถยนต์ที่จำเลยรับประกันภัยเฉี่ยวชนกับรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยด้วยความประมาทของนายสุชินฝ่ายเดียว จำเลยจึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นางสาวเบญญลักษณ์ซึ่งโดยสารมาในรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยและได้รับบาดเจ็บจากเหตุดังกล่าวตามข้อกำหนดของกรมธรรม์ประกันภัยนั้น เมื่อโจทก์เข้ามาชดใช้ค่าเสียหายส่วนนี้ให้แก่นางสาวเบญญลักษณ์ไปแล้ว โจทก์ย่อมได้รับช่วงสิทธิเรียกร้องของนางสาวเบญญลักษณ์ที่มีต่อจำเลย ไล่เบี้ยจำเลยให้ชดใช้เงินที่โจทก์ได้ชำระให้นางสาวเบญญลักษณ์คืนจากจำเลยต่อไปการรับช่วงสิทธิเป็นไปโดยอำนาจของกฎหมาย ส่วนการเกิดสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยเป็นไปตามข้อกำหนดของกรมธรรม์ประกันภัยที่จำเลยตกลงไว้กับผู้เอาประกันภัยดังกล่าวข้างต้น เมื่อพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 มิได้มีข้อกำหนดถึงเรื่องการรับช่วงสิทธิไว้โดยเฉพาะหลักในเรื่องการรับช่วงสิทธิมีอย่างไรย่อมเป็นไปตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
พิพากษายืน