แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นพิพาทว่าจำเลยขายที่พิพาทให้แก่โจทก์จริงหรือไม่จำเลยมิได้โต้แย้งว่าศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นไม่ถูกต้องและศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าจำเลยขายที่พิพาทซึ่งเป็นส่วนของจำเลยพร้อมทั้งมอบสิทธิการครอบครองให้แก่โจทก์จริงมิใช่จำเลยกู้ยืมจากโจทก์แล้วมอบที่พิพาทให้โจทก์ทำนาต่างดอกเบี้ยดังที่จำเลยต่อสู้จำเลยมิได้ฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงดังกล่าวการที่จำเลยฎีกาว่าที่พิพาทเป็นที่ดินมรดกของบิดามารดาจำเลยซึ่งมีบุตร6คนจำเลยจึงไม่มีอำนาจขายที่พิพาทให้แก่โจทก์หากจำเลยขายที่พิพาทก็จะต้องถูกกำจัดไม่ให้ได้รับมรดกและนายใหญ่อาจสูงเนิน เป็นผู้ครอบครองที่พิพาทโจทก์ไม่มีสิทธิในที่พิพาทไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยนั้นเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค1ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งซึ่งเป็นกรณีที่ไม่อาจรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงได้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่จำเลยฎีกาข้อกฎหมายว่าที่พิพาทมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นหลักฐานทางทะเบียนจำเลยขายให้โจทก์โดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่การซื้อขายตกเป็นโมฆะนั้นเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค1มิได้วินิจฉัยถึงเรื่องที่จำเลยยกขึ้นฎีกาดังกล่าวฎีกาจำเลยจึงมิได้โต้แย้งว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค1ไม่วินิจฉัยปัญหาที่จำเลยยกขึ้นฎีกานั้นไม่ชอบเพราะเหตุและจะมีผลอย่างไรเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นบุตรของนายลี นางเม้า อาจสูงเนินบิดาของจำเลยมีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 143หมู่ที่ 6 (ปัจจุบันหมู่ที่ 5) ตำบลสะแกราช (ปัจจุบันเป็นตำบลภูหลวง) อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ 3 งาน บิดาจำเลยตาย จำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าวในฐานะเจ้าของที่ดิน ประมาณปี 2523 จำเลยแบ่งขายที่ดินให้โจทก์เนื้อที่ 1 ไร่ 3 งานเศษ ราคา 19,000 บาทที่ดินที่แบ่งขายนี้มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม ทิศเหนือยาวประมาณ27 วา จดที่ดินของจำเลยทิศตะวันออกยาว 54 วาครึ่ง จดถนนสืบศิริทิศตะวันตกยาวประมาณ 47 วาครึ่ง จดที่ดินของโจทก์ โจทก์ได้ชำระราคาที่ดินให้จำเลยครบถ้วนแล้ว จำเลยได้สละสิทธิครอบครองที่ดินและส่งมอบการครอบครองให้แก่โจทก์ตั้งแต่วันทำสัญญาซื้อขายจนถึงปัจจุบัน โจทก์จำเลยตกลงจะไปจดทะเบียนแบ่งแยกทางทะเบียนหลังจากที่จำเลยจัดการมรดกของบิดาเรียบร้อยแล้ว โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาประมาณ 10 ปี ไม่มีผู้ใดโต้แย้ง ต่อมาที่พิพาทมีราคาสูง จำเลยต้องการที่พิพาทคืนและไม่ยอมให้โจทก์เข้าทำกิน เป็นการผิดสัญญาและโต้แย้งสิทธิครอบครองของโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้พิพากษาว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 143หมู่ที่ 6 (ปัจจุบันหมู่ที่ 5) ตำบลสะแกราช (ปัจจุบันตำบลภูหลวง) อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 1 ไร่3 งาน มีอาณาเขตตามฟ้องเป็นของโจทก์ โจทก์เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ มิให้ผู้ใดเข้ามาเกี่ยวข้อง ให้จำเลยไปดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิในการจดทะเบียนและให้จำเลยไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินส่วนดังกล่าวให้แก่โจทก์ หรือหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้คำพิพากษาให้โจทก์เป็นผู้ดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิในการจดทะเบียนโอนที่พิพาท แล้วโอนมาเป็นชื่อของโจทก์โดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยขายที่พิพาทแก่โจทก์ ที่พิพาทเป็นทรัพย์มรดกซึ่งตกแก่พี่น้องของจำเลยทุกคนซึ่งมีอยู่รวม6 คน ประมาณปี 2520 หลังจากบิดาจำเลยตาย จำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 15,000 บาท จำเลยให้โจทก์ทำนาต่างดอกเบี้ยจำเลยชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จสิ้นแล้ว พี่น้องของจำเลยเป็นผู้ทำประโยชน์ในที่พิพาทจนถึงปัจจุบัน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 143 หมู่ที่ 6 (ปัจจุบันหมู่ที่ 5) ตำบลสะแกราช(ปัจจุบันตำบลภูหลวง) อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมาเนื้อที่ 1 ไร่ 6 ตารางวา โจทก์มีสิทธิครอบครองทำประโยชน์ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าเกี่ยวข้อง คำขออื่นให้ยกเสีย
จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบรับกันฟังได้ยุติว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 143 หมู่ที่ 6 (ปัจจุบันเป็นหมู่ที่ 5)ตำบลสะแกราช (ตำบลภูหลวง) อำเภอปักธงชัยจังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 5 ไร่ 25 วา เดิมเป็นของนายสีอาจสูงเนิน บิดาจำเลยเมื่อปี 2522 นายลีถึงแก่ความตายคดีนี้มีปัญหาข้อเท็จจริงเพียงประการเดียวตามที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ในข้อแรกว่า จำเลยขายที่พิพาทให้แก่โจทก์จริงหรือไม่ โดยโจทก์และจำเลยมิได้โต้แย้งว่าศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นไม่ถูกต้อง และศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่า จำเลยขายที่พิพาทซึ่งเป็นส่วนของจำเลยพร้อมทั้งมอบสิทธิการครอบครองให้แก่โจทก์จริง มิใช่จำเลยกู้ยืมจากโจทก์แล้วมอบที่พิพาทให้โจทก์ทำนาต่างดอกเบี้ยดังที่จำเลยต่อสู้ จำเลยมิได้ฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงดังกล่าว การที่จำเลยฎีกาว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินมรดกของบิดาจำเลยซึ่งมีบุตร 6 คน จำเลยจึงไม่มีอำนาจขายที่พิพาทให้แก่โจทก์ หากจำเลยขายที่พิพาทก็จะต้องถูกกำจัดไม่ให้ได้รับมรดก และนายใหญ่ อาจสูงเนิน เป็นผู้ครอบครองที่พิพาท โจทก์ไม่มีสิทธิในที่พิพาท ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยนั้นเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกรณีที่ไม่อาจรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่จำเลยฎีกาข้อกฎหมายว่า ที่พิพาทมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เป็นหลักฐานทางทะเบียน จำเลยขายให้โจทก์โดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การซื้อขายตกเป็นโมฆะนั้นเห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิได้วินิจฉัยถึงเรื่องที่จำเลยยกขึ้นฎีกาดังกล่าวเลย ฎีกาจำเลยมิได้โต้แย้งว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1ไม่วินิจฉัยปัญหาที่จำเลยยกขึ้นฎีกานั้นไม่ชอบเพราะเหตุ และจะมีผลอย่างไร เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาจำเลย