คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 485/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน คนร้ายได้มาดักซุ่ม ยิงผู้เสียหายอยู่ที่บริเวณหลังจอมปลวกอย่างกะทันหันขณะนั้นในที่เกิดเหตุก็มีเพียงแสงสว่างจากไฟหน้ารถคันที่เกิดเหตุเท่านั้น โอกาสที่ผู้เสียหายทั้งสามจะมองเห็นและจดจำใบหน้าคนร้ายให้ได้ทุกคนจึงเป็นไปไม่ได้ โอกาสจำ บุคคลผิดพลาดไปก็มีได้มาก ทั้งหากผู้เสียหายทั้งสามเห็น และจำคนร้ายได้แน่ชัดว่าเป็นจำเลยทั้งสามจริงก็จะต้อง พูดคุยกันและแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจไปติดตามจับกุมตัว จำเลยทั้งสามให้ได้โดยเร็ว แต่ผู้เสียหายก็มิได้กระทำการ ดังกล่าวนั้น ดังนั้น แม้ผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 จะชี้ตัวจำเลยทั้งสามว่าเป็นคนร้ายก็ตาม ก็ไม่ทำให้พยานโจทก์ มีน้ำหนักดีขึ้น เพราะผู้เสียหายทั้งสามรู้จักกับ จำเลยทั้งสามมาก่อนแล้วเป็นอย่างดี ส่วนจำเลยทั้งสามนั้น นอกจากจะยืนยันให้การปฏิเสธมาโดยตลอดแล้ว หลังเกิดเหตุ จำเลยทั้งสามก็มิได้หลบหนีไปอยู่ที่อื่นอันจะถือเป็น ข้อพิรุธแต่ประการใด ฉะนั้นพยานหลักฐานของโจทก์จึง ไม่มีน้ำหนักพอที่จะฟังลงโทษจำเลยทั้งสามได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามกระทำผิดกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือจำเลยทั้งสามร่วมกันมีอาวุธปืนลูกซองยาว 1 กระบอก อาวุธปืนสั้น 2 กระบอก ไม่ทราบชนิดและขนาด ไม่ปรากฏว่ามีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้หรือไม่และมีกระสุนปืนไม่ทราบขนาดหลายนัดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและร่วมกันพาอาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าวติดตัวไปในหมู่บ้านหมู่ที่ 4 ตำบลช่องไม้แก้ว อำเภอทุ่งตะโกจังหวัดชุมพร และตามถนนในหมู่บ้านซึ่งเป็นทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว ทั้งไม่เป็นกรณีมีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงนายสมยศ ม่วงขาว ผู้เสียหายที่ 1นางมณฑา ม่วงขาว ผู้เสียหายที่ 2 และนายอนันต์ คงทองผู้เสียหายที่ 3 โดยเจตนาฆ่าและไตร่ตรองไว้ก่อน จำเลยทั้งสามลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผลเนื่องจากกระสุนปืนไม่ถูกอวัยวะสำคัญ ผู้เสียหายทั้งสามจึงไม่ถึงแก่ความตาย เจ้าพนักงานตรวจยึดกระสุนปืนลูกซองยี่ห้อวินเซสเตอร์ จำนวน 1 นัด สุรายี่ห้อแม่โขงขวดแบนจำนวน 1 ขวดครึ่ง และขวดสุราเปล่ายี่ห้อแม่โขงขวดแบนจำนวน1 ขวด เป็นของกลาง จำเลยที่ 1 เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุก 6 เดือน และปรับ 3,000 บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 116/2537 ของศาลชั้นต้น ภายในเวลาที่ศาลรอการลงโทษจำเลยที่ 1 มา กระ ทำความผิดในคดีนี้อีก ซึ่งไม่ใช่ความผิดที่กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 80, 83, 91, 32, 58พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบกระสุนปืนของกลางและบวกโทษของจำเลยที่ 1 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 116/2537 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษในคดีนี้
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีก่อนที่ศาลรอการลงโทษไว้ตามฟ้องโจทก์จริง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 83พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง เรียงกระทงลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นจำคุกคนละ 12 ปี ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 1 ปี รวมจำคุกคนละ 14 ปีบวกโทษจำคุก 6 เดือน ของจำเลยที่ 1 ซึ่งรอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 116/2537 ของศาลชั้นต้น คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 14 ปี 6 เดือน ของกลางริบ (ที่ถูกกระสุนปืนของกลางริบ) ความผิดฐานอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องข้อหาความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องได้มีคนร้ายร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงนายสมยศ ม่วงขาว ผู้เสียหายที่ 1 นางมณฑา ม่วงขาว ผู้เสียหายที่ 2 และนายอนันต์ คงทอง ผู้เสียหายที่ 3 กระสุนปืนถูกผู้เสียหายทั้งสามเป็นบาดแผล ตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลเอกสารหมาย จ.1 จ.7 และ จ.5 ตามลำดับ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยทั้งสามเป็นคนร้ายรายนี้หรือไม่ เห็นว่าโจทก์มีผู้เสียหายทั้งสามเป็นประจักษ์พยานเบิกความว่าจำเลยทั้งสามเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงตน แต่ข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาปรากฏว่าขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน และสภาพของบริเวณที่เกิดเหตุตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.4 ปรากฏว่าทางด้านขวาของถนนเป็นสวนยางพาราต้นยางพารา สูงประมาณ 4 เมตร กับมีจอมปลวกขนาดใหญ่อยู่ข้างถนน ส่วนทางด้านซ้ายของถนนเป็นป่าละเมาะและเจ้าพนักงานตำรวจได้ตรวจพบของกลางในคดีกล่าวคือกระสุนปืนลูกซองขนาด 12 จำนวน 1 นัด สุราแม่โขงยังไม่ได้ดื่ม 1 แบน สุราแม่โขงดื่มแล้วครึ่งแบนและขวดสุราแม่โขงเปล่า 1 แบนอยู่ที่บริเวณหลังจอมปลวกตามข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงเชื่อว่าคนร้ายได้มาดักซุ่มยิงผู้เสียหายอยู่ที่บริเวณหลังจอมปลวกและเมื่อพิจารณาประกอบกับเหตุการณ์ที่คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทั้งสามซึ่งเกิดขึ้นอย่างกะทันหันในทันทีทันใด โดยที่ผู้เสียหายทุกคนไม่ได้คาดคิดมาก่อนแล้ว ผู้เสียหายทั้งสามย่อมอยู่ในภาวะตกใจ กลัวและขณะนั้นในที่เกิดเหตุก็มีเพียงแสงสว่างจากไฟหน้ารถคันที่เกิดเหตุเท่านั้น ดังนั้น โอกาสที่ผู้เสียหายทั้งสามจะมองเห็นใบหน้าของคนร้ายได้อย่างถนัดชัดเจนและใช้ความสังเกตจดจำใบหน้าของคนร้ายให้ได้ทุกคนจึงเป็นไปไม่ได้ ทั้งโอกาสจำบุคคลผิดพลาดไปก็มีได้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังเกิดเหตุผู้เสียหายทั้งสามก็มิได้พูดคุยกันว่าใครเป็นคนร้าย และเมื่อผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 แวะแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจที่ป้อมยามเขาปีบ ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งมีตำแหน่งเป็นกำนันก็แจ้งแต่เพียงว่า ตนกับพวกถูกลอบยิงโดยมิได้ระบุว่าผู้ใดเป็นคนร้าย ทั้ง ๆ ที่การระบุชื่อคนร้ายให้เจ้าพนักงานตำรวจทราบก็มิได้ใช้เวลาอีกมากนัก และยิ่งไปกว่านั้นระหว่างเดินทางไปโรงพยาบาลทุ่งตะโก ผู้เสียหายทั้งสามก็ยังมิได้พูดคุยกันถึงเรื่องที่ว่าใครเป็นคนร้ายอีกกรณีดังกล่าวจึงเป็นการผิดปกติวิสัยและขัดต่อเหตุผลเป็นอย่างมาก เพราะหากผู้เสียหายทั้งสามเห็นและจำคนร้ายได้แน่ชัดว่าเป็นจำเลยทั้งสามก็จะต้องพูดคุยกันและแจ้งระบุชื่อจำเลยทั้งสามให้เจ้าพนักงานตำรวจทราบในทันทีแล้วนำเจ้าพนักงานตำรวจไปติดตามจับกุมตัวจำเลยทั้งสามซึ่งเป็นลูกบ้านและเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกันกับผู้เสียหายที่ 1ให้ได้โดยเร็ว แต่ผู้เสียหายก็มิได้กระทำการดังกล่าวนั้นเลยและแม้ผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 สามารถชี้ตัวจำเลยทั้งสามได้ถูกต้องตามบันทึกการชี้ตัวผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.2 และ จ.6 ก็ตาม ก็ไม่ทำให้พยานโจทก์มีน้ำหนักดีขึ้น ทั้งนี้เพราะผู้เสียหายทั้งสามรู้จักกับจำเลยทั้งสามมาก่อนแล้วเป็นอย่างดีส่วนจำเลยทั้งสามนั้น นอกจากจะยืนยันให้การปฏิเสธมาโดยตลอดแล้วหลังเกิดเหตุ จำเลยทั้งสามก็มิได้หลบหนีไปอยู่ที่อื่นอันจะถือเป็นข้อพิรุธแต่ประการใด ฉะนั้นพยานหลักฐานของโจทก์ จึงไม่มีน้ำหนักพอที่จะฟังลงโทษจำเลยทั้งสามได้ ข้อเท็จจริงแห่งคดีฟังไม่ได้ว่า จำเลยทั้งสามเป็นคนร้ายที่ร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทั้งสามในคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share