คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 119/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์นำสินค้าเข้า พนักงานของจำเลยเห็นว่าโจทก์สำแดงราคาสินค้าต่ำไปและสำแดงรายการสินค้าเท็จ จึงให้โจทก์นำเงินสดหรือหนังสือค้ำประกันมาวางโจทก์นำหนังสือสัญญาค้ำประกันของธนาคารมาวางประกันในวงเงิน 400,000 บาท และ 783,000 บาท ตามลำดับพนักงานของจำเลยจึงตรวจปล่อยสินค้าให้โจทก์ ต่อมาเจ้าพนักงานของจำเลยได้มีหนังสือเรียกโจทก์ไปตกลงระงับคดี แต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตาม จึงได้ส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดี อันเป็นการปฏิบัติตามขั้นตอนที่ พ.ร.บ. ศุลกากรฯ กำหนดไว้ ดังนี้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนข้อกล่าวหาหรือคำสั่งของจำเลยได้ และเมื่อยังโต้เถียง จำนวนค่าภาษีอากรกันอยู่ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยคืนหลักประกัน ในกรณีพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยตรวจพบว่าโจทก์กระทำผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ. ศุลกากรฯ ถ้า โจทก์ยอมเสียค่าปรับตามคำเปรียบเทียบก็ทำให้คดีอาญาระงับได้ตามมาตรา 102 และ 102 ทวิสินค้าที่โจทก์นำเข้าได้ระบุว่าเป็นกระบอกสูบเครื่องยนต์เครื่องหมายการค้า เอ็น.พี.อาร์. แต่ในตัวสินค้ามีเครื่องหมายรถยนต์ ฮีโน่ โตโยต้า และนิสสัน พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยจึงถือเอาราคาตามที่บริษัทรถยนต์ฮีโน่ โตโยต้า และนิสสัน นำเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นราคาเทียบเคียง โดยลดให้ร้อยละห้า และถือเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาด เพื่อนำไปคำนวณหาอากรที่ขาด กำหนดเป็นเกณฑ์ให้โจทก์เสียค่าปรับอันจะได้ระงับคดีอาญา ดังนี้เป็นการปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายโดยชอบ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ยื่นใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าขอเสียภาาีอากรต่อกรมศุลกากรจำเลย เพื่อนำของออกตามระเบียบพนักงานของจำเลยตรวจสอบใบขนสินค้าของโจทก์แล้วรับรองออกใบขนสินค้าให้โจทก์ ตามใบขนสินค้าขาเข้า และแบบแสดงรายการค้าเลขที่ 049-50270 จำเลยรับชำระเงินอากรขาเข้าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล ตามที่โจทก์แสดงไว้เป็นเงินค่าภาษีอากรรวมทั้งสิ้น 507,203.13 บาท แต่พนักงานของจำเลยไม่ได้พอใจราคาสินค้าตามที่โจทก์ซื้อมาจึงให้โจทก์วางประกันเพิ่มไว้อีกต่างหากในวงเงิน 400,000 บาท ซึ่งโจทก์จำเป็นต้องวางประกันเพื่อนำของออกาจากกรมศุลกากร มิใช่เป็นการวางไว้ตามความสมัครใจต่อมาพนักงานของจำเลยอ้างว่า โจทก์ได้ยื่นใบขนสินค้าขาเข้าซึ่งมีคำสำแดงเกี่ยวกับรายละเอียดสินค้า เครื่องหมายการค้า และอัตราส่วนลดเป็นเท็จ พนักงานของจำเลยได้ตีราคาสินค้าของโจทก์เพิ่มสูงขึ้นจากราคาสินค้าที่โจทก์ซื้อมาจริง และได้ให้โจทก์วางประกันเพิ่มไว้อีกเป็นครั้งที่ 2 ในวงเงิน 783,000 บาท เมื่อโจทก์วางประกันให้แล้ว พนักงานของจำเลยจึงตรวจปล่อยส่งมอบสินค้าแก่โจทก์ ต่อมาระหว่างวันที่ 20 ตุลาคม 2530 พนักงานของจำเลยได้มีหนังสือถึงโจทก์แจ้งให้โจทก์ไปทำความตกลงระงับคดีในชั้นศุลกากรโดยให้จำเลยเสียค่าปรับเป็นเงิน 356,718 บาท กับต้องเสียค่าภาษีอากรที่ขาดให้ครบถ้วน ซึ่งโจทก์ไม่เห็นด้วยกับการปฏิบัติของจำเลย จึงไม่ยอมชำระเงินแก่จำเลยตามที่กล่างอ้าง ต่อมากรมศุลกากรจำเลยได้แจ้งความให้ดำเนินคดีกับโจทก์ในความผิดฐานยื่นใบขนสินค้าและแสดงรายการสินค้าเป็นเท็จ ราคาสินค้าที่โจทก์ซื้อเข้ามา และแสดงไว้ในใบขนสินค้ายื่นเสียภาษีแก่จำเลยดังกล่าวนั้น เป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาด ส่วนการจะเปรียบเทียบ หรือเทียบเคียงกับสินค้ายี่ห้ออื่นเท่ากับเป็นวิธีการที่จะตีราคาสินค้าโจทก์เพิ่มขึ้น ซึ่งโจทก์ไม่เห็นด้วย และไม่เคยยอมรับว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้อง จึงขอให้ศาลพิพากษาว่า จำเลยตีราคาสินค้าโจทก์แล้วประเมินโดยคำนวณอากรขาข้า ภาษีการค้า จากราคาสินค้าที่ตีเพิ่มตามที่กล่าวในฟ้องไม่ชอบให้ยกเลิกเพิกถอนการตีราคาสินค้าประเมินอากรดังกล่าวนั้นเสีย และให้ศาลพิพากษาว่า ที่จำเลยกล่าวหาว่าโจทก์แสดงรายการสินค้าเป็นเท็จทำให้ภาษีอากรขาดแล้วกำหนดปรับโจทก์ไม่ชอบ ให้ยกเลิกเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวนั้นเสีย กับให้จำเลยคืนหลักทรัพย์ค้ำประกันมูลค่า 400,000 บาท และ 783,000 บาทแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ยื่นใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้า เลขที่ 049-50270 และได้นำเข้าสินค้าประเภทกระบอกสูบเครื่องยนต์ตามที่มีราคาตามที่โจทก์ได้สำแดงไว้ในบัญชีราคาสินค้าเลขที่ 9175 ลงวันที่ 11 มีนาคม 2529ของบริษัทนิปปอนพิสตอนริง จำกัด จากประเทศญี่ปุ่น เป็นราคาซี.ไอ.เอฟ. คิดเป็นเงินไทย 1,759,542.57 บาท โดยโจทก์ผู้นำเข้าได้ชำระค่าภาษีอากรรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 507,203.13 บาท ให้แก่จำเลยแต่เนื่องจากโจทก์จะต้องชำระค่าภาษีอากรเพิ่ม เจ้าพนักงานของจำเลยจึงได้สั่งให้โจทก์วางเงินประกันเพิ่มเติมในวันที่ 11 เมษายน 2529ในวงเงินประกัน 400,000 บาท ต่อมาเจ้าหน้าที่ตรวจสอบสินค้าของจำเลยได้ตรวจพบว่าสินค้าตามรายการที่ 1 ใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าเลขที่ 049-50270 และรายการในบัญชีราคาสินค้า (ใบอินวอยซ์) เลขที่ 9175 ลงวันที่ 11 มีนาคม 2529ของบริษัทนิปปอนพิสตอนริง จำกัด จากประเทศญี่ปุ่นได้สำแดงไว้ว่าเป็นกระบอกสูบยี่ห้อ เอ็น.พี.อาร์. จำนวน 4,770 ชิ้น โจทก์ผู้นำเข้าได้สำแดงหมายเลขอะไหล่สินค้าของโจทก์ดังกล่าวผิดไป จากความเป็นจริงรวม 8 รายการ เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยจะต้องประเมินราคาสินค้าเป็นอะไหล่แท้ และสินค้าตามรายการที่ 1และ 14 เป็นอะไหล่ที่ทดแทนอะไหล่แท้ ฉะนั้นเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยจึงต้องทำการประเมินราคาสินค้าลดได้ไม่เกิน 5% ของบัญชีกำหนดราคาสินค้า (ไพร้ลิซ) ของบริษัทรถยนต์ต่าง ๆ ที่เป็นตัวแทนในประเทศไทย จึงได้ส่งเรื่องให้กองพิธีการและประเมินอากรของจำเลยทำการประเมินราคาสินค้าและอากรที่โจทก์ผู้นำเข้าได้ชำระไว้ขาด และส่งเรื่องให้กองคดีของจำเลยดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์การตีราคาสินค้าเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยก็โดยอาศัยราคาอันแท้จริงในท้องตลาด มีอำนาจประเมินราคาใหม่ได้เมื่อเห็นว่า ราคาสินค้าตามที่โจทก์สำแดงไว้มีราคาต่ำกว่าราคาในท้องตลาด ฉะนั้นการที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยได้ใช้ดุลพินิจในการประเมินราคาอันแท้จริงในท้องตลาดเป็นการประเมินที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยขอให้การต่อสู้ว่า โจทก์ได้กระทำผิดโดยสำแดงเท็จ ได้มีหนังสือให้โจทก์ไปทำความตกลงระงับคดี แต่โจทก์ไม่ยอมไป จำเลยจึงได้ส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีอาญากับโจทก์ ซึ่งจำเลยยังรอผลคดีอาญาอยู่ เนื่องจากโจทก์ไม่ไปทำความตกลงระงับคดี และเพื่อรอผลคดีอาญาถึงที่สุด จำเลยจึงไม่ไม่ได้ออกแบบแจ้งการประเมินอากรให้โจทก์ทราบ การกระทำของจำเลยเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายโจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ขอให้โจทก์ไปตกลงระงับคดีและดำเนินคดีอาญาฐานสำแดงเท็จ สำหรับหลักทรัพย์ที่ดจทก์นำมาค้ำประกันเป็นจำนวนเงิน 400,000 บาท และ 783,000 บาทนั้น เฉพาะโจทก์อาจจะต้องชำระภาษีอากรหรือภาษีอากรเพื่ม โดยธนาคารกรุงเทพ จำกัด ขอเข้าเป็นผู้ค้ำประกันต่อกรมศุลกากรนับแต่วันรับแจ้งผลการประเมินให้ชำระ ธนาคารจะเข้าชำระเงินแทนให้กรมศุลกากรจำเลยภายในเวลา 15 วัน โจทก์จึงไม่มีสิทธิให้จำเลยคืนเงินประกัน
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2529 โจทก์ได้ซื้อกระบอกลูกสูบเครื่องยนต์ยี่ห้อ เอ็น.พี.อาร์. จากบริษัท เอ็น.พี.อาร์ง นิปปแนพิสตอนริงจำกัด แห่งประเทศญี่ปุ่น จำนวน 4,770 ชิ้น รวม 21 รายการ เข้ามาในราชอาณาจักร ครั้นวันที่ 3 เมษายน 2529 โจทก์ได้ยื่นใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าโดยสำแดงราคาสินค้าคิดเป็นเงินไทย1,759,942.57 บาท พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยเห็นว่าราคาที่สำแดงไว้ต่ำไปให้โจทก์นำเงินสดหรือหนังสือค้ำประกันวางต่อจำเลยโจทก์ได้นำหนังสือค้ำประกันของธนาคารกรุงเทพ จำกัด วางประกันในวงเงิน 400,000 บาท ต่อมาโจทก์ได้ขอตรวจปล่อยสินค้าจากเจ้าหน้าที่ของจำเลย พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยไม่ยอมตรวจปล่อยสินค้าให้โจทก์ โดยอ้างว่าโจทก์สำแดงหมายเลขของอะไหล่แท้ไม่ถูกต้อง และสินค้าบางรายการมียี่ห้อฮีโนปรากฏในตัวสินค้าที่โจทก์นำเข้ามา โจทก์จะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น การกระทำของโจทก์เป็นความผิดฐานสำแดงเท็จตามมาตรา 27 และ 99 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากรพุทธสักราช 2469 และให้โจทก์หาประกันเพิ่มเติมอีกโจทก์ได้นำหนังสือสัญญาค้ำประกันของธนาคารกรุงเทพ จำกัด วางประกันอีกในวงเงิน 783,000 บาท พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยจึงได้ตรวจปล่อยสินค้าให้โจทก์เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2529 ต่อมาวันที่ 20 ตุลาคม2529 จำเลยได้มีหนังสือถึงโจทก์ขอให้ไปทำความตกลงระงับคดีโดยให้โจทก์เสียค่าปรับ 2 เท่าของอากรที่ขาดตามคำสั่งทั่วไปของกรมศุลกากร ซึ่งใช้ปฏิบัติในการระงับคดีแต่โจทก์ไม่ยอมไปเสียค่าปรับจึงระงับคดีทางอาญาไม่ได้ จำเลยจึงได้ส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนดำเนินดคีแก่โจทก์
ข้อต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์มีว่า การกระทำของำจเลยเป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ตามข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ข้างต้นเป็นกรณีที่พนักงานเจ้าหนี้าที่ของจำเลยได้ตรวจสินค้าที่โจทก์นำเข้าเมื่อเห็นว่าสินค้าที่นำเข้าไม่ตรงกับใบขนสินค้าแสดงว่ามีปัญหาเกี่ยวกับจำนวนค่าอากรสำหรับของที่ผ่านศุลกากร เจ้าหน้าที่ย่อมมีอำนาจให้วางเงินประกันหรือให้มีการค้ำประกันของธนาคารแทนการวางเงินและถ้าเห็นว่ามีการทำคำสำแดงเท็จ อาจมีความผิดจะต้องรับโทษทางอาญากรณีเช่นนี้จำเลยอาจจะตกลงงดการฟ้องร้องทางอาญาได้ ซึ่งเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติศุลกากรพุทธศักราช 2469 มาตรา 99, 102 และ 112 การกระทำของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยในคดีนี้ ปรากฏว่าเมื่อได้ตรวจสินค้าโจทก์เห็นว่าจะเสียภาษีอากรไม่ถูกต้อง ก็ให้นำหนังสือค้ำประกันของธนาคารไปวางประกันไว้ ทั้งการกระทำของโจทก์อาจมีความผิดทางอาญาเกี่ยวกับพระราชบัญญัติศุลกากร จึงได้มีหนังสือเรียกโจทก์ให้ไปตกลงระงับคดีเมื่อโจทก์ไม่ไปตามที่จำเลยมีหนังสือแจ้ง จำเลยจึงส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีอาญา ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามขั้นตอนที่พระราชบัญญัติศุลกากรกำหนดไว้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจจะฟ้องขอให้เพิกถอนข้อกล่าวหาหรือคำสั่งใดของจำเลยได้ และในกรณีที่มีการวางประกันค่าอากร เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ประเมินอากรอันจะพึงเสียและแจ้งให้ผู้นำเข้าทราบ ผู้นำเข้าต้องชำระเงินอากรตามจำนวนที่ได้รับแจ้งให้ครบตามมาตรา 112 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 โจทก์ก็จะได้รับหลักประกันคืน คดีนี้เมื่อยังโต้เถียงจำนวนค่าภาษีอากรกันอยู่ โจทก์ยังไม่มีสิทธิจะบังคับให้จำเลยคืนหลักประกันในชั้นนี้ส่วนที่โจทก์ขอให้ยกเลิกคำสั่งจำเลยที่ตีราคาสินค้าโจทก์แล้วนำไปกำหนดค่าปรับนั้นเห็นว่า “เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยตรวจพบว่ามีการกระทำผิดทางอาญาเกี่ยวกับพระราชบัญญัติศุลกากร ถ้าโจทก์ยอมเสียค่าปรับตามคำเปรียบเทียบก็ย่อมทำให้คดีอาญาระงับไปได้ ตามมาตรา 102และ 102 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 ในการกำหนดค่าปรับจำเลยได้มีคำสั่งอ้างเกณฑ์ระงับคดีตามพระราชบัญญัติศุลกากร เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติราชการและเป็นธรรมแก่คู่กรณีซึ่งตามลักษณะการกระทำของโจทก์ ถ้าจะเปรียบเทียบปรับจะต้องปรับ2 เท่าของอากรที่ขาดในการคำนวณอากรที่ขาดจำเป็นจะต้องเอามาจากราคาสินค้าที่โจทก์นำเข้า โดยถือราคาอันแท้จริงในท้องตลาดเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยตรวจสินค้าแล้วเห็นว่าสินค้าที่โจทก์นำเข้าโจทก์ได้ระบุว่าเป็นกระบอกสูบเครื่องยนต์ ยี่ห้อหรือเครื่องหมายการค้า เอ็น.พี.อาร์. แต่ในตัวสินค้ามียี่ห้อหรือเครื่องหมายรถยนต์ฮีโน่ และบางรายการเป็นอะไหล่กระบอกสูบรถยนต์ยี่ห้อรถยนต์ฮีโน่ โต้โยต้า และนิสสัน พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยจึงได้ถือเอาราคาตามที่บริษัทรถยนต์ฮีโน่ โตโยต้า และนิสสันนำเข้ามาในราชอาณาจักร เป็นราคาเทียบเคียงโดยลดให้ร้อยละห้าแล้วถือเป็นราคาอันแท้จริงให้ท้องตลาด เพื่อนำไปคำนวณหาอากรที่ขาด แล้วได้กำหนดเป็นเกณฑ์ให้โจทก์เสียค่าปรับอันจะได้ระงับคดีทางอาญา ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามขั้นตามที่กฎหมายและระเบียบได้ให้อำนาจไว้โดยชอบแล้ว เมื่อโจทก์ไม่ยินยอมให้เปรียบเทียบปรับจำเลยก็ไม่มีอำนาจบังคับได้ เพียงแต่ส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนดำเนินการต่อไป จึงไม่มีเหตุจะเพิกถอนคำสั่งของจำเลยตามที่โจทก์ขอแต่อย่างใด”
พิพากษายืน.

Share