แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้โจทก์จะตั้งเรื่องว่าขอนำยึดบ้านเลขที่ 59/4แต่บ้านที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดจริงคือบ้านพิพาทเลขที่ 66/5 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยโจทก์จึงยึดเพื่อขายชำระหนี้ได้ เมื่อกรณีเป็นเรื่องตัวทรัพย์ที่ยึดไม่ผิดตัว เพียงแต่เลขที่ประจำตัวทรัพย์ผิดไปจากที่โจทก์แจ้งต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเท่านั้น ย่อมไม่ทำให้การยึดบ้านพิพาทของเจ้าพนักงานบังคับคดีกลายเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้จำนวน 40,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์ แต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์ขอให้บังคับคดีและได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดบ้านเลขที่ 59/4 เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดบ้านเลขที่ 66/5 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง โดยอ้างว่าเป็นบ้านเลขที่ 59/4 ทำให้ผู้ร้องเสียหายคิดเป็นเงิน 10,000 บาทขอศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาด
โจทก์ให้การว่า โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดบ้านเลขที่ 59/4 ซึ่งจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ และปลูกสร้างอยู่บนที่ดินของโจทก์โดยจำเลยเช่าที่โจทก์ทำสวน โจทก์ไม่ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดบ้านเลขที่ 66/5 เพราะบ้านทั้งสองหลังปลูกอยู่ต่างสถานที่กัน โดยการยึดก็ไม่มีผู้ใดคัดค้านและไม่พบผู้ร้อง ผู้ร้องมีเจตนาประวิงการขายทอดตลาด ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดบ้านพิพาท (ที่ถูกต้องเป็นการขอให้ปล่อยบ้านพิพาทที่ถูกยึด) ซึ่งมีราคา 20,000 บาท พร้อมทั้งขอให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ร้องอีก 10,000 บาทจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท และในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริง คงอุทธรณ์ฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย และในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนั้นศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน โดยศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์นำยึดบ้านพิพาทเลขที่ 66/5 ซึ่งขณะนำยึดยังไม่มีเลขที่ประจำบ้าน โดยอ้างว่าเป็นบ้านเลขที่ 59/4 และบ้านพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยซึ่งเป็นสามีภริยาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
สำหรับปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของผู้ร้องที่ว่า โจทก์นำยึดบ้านพิพาทโดยระบุว่าเป็นบ้านเลขที่ 59/4 หมู่ที่ 7 แต่บ้านพิพาทเป็นบ้านเลขที่ 66/5 เป็นการนำยึดทรัพย์ผิดสถานที่ ไม่ตรงกับสำเนาทะเบียนบ้านที่โจทก์ตั้งเรื่องไว้จึงเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า แม้โจทก์จะตั้งเรื่องว่าขอนำยึดบ้านเลขที่ 59/5 แต่บ้านที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดจริงคือบ้านพิพาทเลขที่ 66/5 ทั้งข้อเท็จจริงได้ความว่าบ้านพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยโจทก์จึงมีสิทธิยึดบ้านพิพาทอันเป็นทรัพย์ของจำเลยเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ กรณีที่เพียงแต่โจทก์ระบุเลขที่ประจำบ้านพิพาทผิดไปโดยโจทก์นำยึดบ้านพิพาทตั้งแต่ปี 2537 โดยระบุว่าเป็นบ้านเลขที่ 59/4 หมู่ที่ 7 แต่ผู้ร้องเพิ่งมาขอเลขที่บ้านพิพาทได้เลขที่ 66/5 เมื่อปี 2539 หลังจากยึดแล้วถึง 2 ปีเศษ เพื่อได้ความว่าบ้านพิพาทเป็นทรัพย์ของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์จึงยึดเพื่อขายชำระหนี้ได้ กรณีเป็นเรื่องตัวทรัพย์ที่ยึดไม่ผิดตัวเพียงแต่เลขที่ประจำตัวทรัพย์ผิดไปจากที่แจ้งเท่านั้น หาทำให้การยึดบ้านพิพาทของเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใดไม่
พิพากษายืน