คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2476/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินพิพาทเป็นที่ธรณีสงฆ์ของวัดจำเลย พระครู น.เจ้าอาวาสองค์แรกของจำเลยอุทิศถวายให้จำเลยสร้างวัดและทางราชการ ได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่ดินศาสนสมบัติวัดไว้แล้วแม้หนังสือรับรองสภาพวัดของกรมการศาสนาและทะเบียนที่ดินศาสนสมบัติวัดที่ระบุว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ธรณีสงฆ์ของจำเลยตามเอกสารหมาย ล.1 และ ล.8 จะเป็นเพียงสำเนาเอกสารก็ตามแต่เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่ทางราชการจัดทำขึ้นและรับรองโดยเฉพาะสำเนาทะเบียนที่ดินศาสนสมบัติวัดตามเอกสารหมายล.8 มีรายการที่ธรณีสงฆ์ซึ่งมีอาณาเขตที่ดินตรงกับสำเนาทะเบียนที่ดินศาสนสมบัติวัดเอกสารหมาย จ.6 และ จ.11ที่โจทก์ส่งอ้างเป็นพยานทุกประการเพียงแต่เลขทะเบียนที่ดินเท่านั้นที่ไม่ตรงกัน สำเนาเอกสารหนังสือรับรองสภาพวัดของกรมการศาสนาและสำเนาทะเบียนที่ดินศาสนสมบัติวัดเอกสารหมายล.1 และ ล.8 จึงรับฟังได้ ที่ดินพิพาทเป็นที่ธรณีสงฆ์ของจำเลย ไม่ใช่ที่ดินของเทศบาลโจทก์การที่โจทก์ขอออกหนังสือสิทธิครอบครองตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดินเอกสารฉบับพิพาท จึงเป็นการออกทับที่ธรณีสงฆ์ของจำเลย ทั้งการเข้าพัฒนาที่ดินพิพาทของโจทก์เป็นเพียงการให้บริการแก่ประชาชนผู้อยู่อาศัยในที่ดินพิพาท ตามอำนาจหน้าที่ไม่ใช่เป็นการครอบครองเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท ย่อมไม่ก่อให้โจทก์ได้สิทธิเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยเป็นนิติบุคคล โดยโจทก์มีฐานะเป็นทบวงการเมืองตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496จำเลยมีฐานะเป็นวัดในพุทธศาสนา โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดินเลขที่ 155 เนื้อที่ 35 ไร่อาญาเขตทิศเหนือจดคูน้ำ ทิศใต้จดถนนสาธารณะ (ปัจจุบันเป็นถนนเตาหลวง) ทิศตะวันออกจดที่ธรณีสงฆ์ของวัดจำเลย ทิศตะวันตกจดทะเลสาบโจทก์ครอบครองทำประโยชน์ตลอดมาตั้งแต่ปี 2487โดยใช้พื้นที่ส่วนหนึ่งเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ สร้างเป็นโรงฆ่าสัตว์และจัดให้ราษฎรที่ยากจนปลูกบ้านอยู่อาศัย กับจัดการเกี่ยวกับสาธารณูปโภคในที่ดินดังกล่าว เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2533 จำเลยโดยนายสุธี ถิ่นจะนะ ยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานที่ดินขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์ดังกล่าวอ้างว่าเป็นที่ธรณีสงฆ์ของวัดจำเลยโดยมีเจตนาแย่งการครอบครองที่ดินของโจทก์อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ขอให้ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดินเลขที่ 155 ของโจทก์
จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีปกครองวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ 33 ไร่ 3 งาน 72 7/10 ตารางวาอาณาเขตทิศเหนือจดคูน้ำหรือคลอง ทิศใต้จดถนนเตาหลวง ที่ดินที่ตั้งโรงฆ่าสัตว์และที่ดินเอกชน ทิศตะวันออกจดที่ดินของจำเลยทิศตะวันตกจดถนนเตาอิฐ ถัดถนนเป็นทะเลสาบ เมื่อปี 2503รัฐบาลภายใต้การนำของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีนโยบายให้ย้ายราษฎรที่บุกรุกเข้าอยู่อาศัยในที่ดินบริเวณแหลมสนอ่อนซึ่งเป็นที่ดินของรัฐออกจากพื้นที่เพื่อพัฒนาพื้นที่บริเวณดังกล่าวให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว จังหวัดสงขลาจึงแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวและจัดสรรที่ดินพิพาทให้ราษฎรที่อพยพจากแหลมสนอ่อนเข้าอยู่อาศัย หลังจากนั้นโจทก์ดำเนินการพัฒนาที่ดินพิพาทด้วยเงินงบประมาณของโจทก์โดยทำถนนสาธารณะและวางท่อระบายน้ำ ต่อมาวันที่ 6 กันยายน 2533จำเลยโดยนายสุธี ถิ่นจะนะ ศึกษาธิการอำเภอเมืองสงขลายื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานที่ดินขอออกโฉนดที่ดินในที่ดินพิพาท โดยอ้างว่าเป็นที่ธรณีสงฆ์ของจำเลย แต่โจทก์คัดค้านการขอออกโฉนดที่ดินดังกล่าวโดยอ้างว่าเป็นที่ดินของโจทก์
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือของจำเลยนั้น เห็นว่าพยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบมาได้ความสอดรับเป็นเหตุเป็นผล และมีหลักฐานเชื่อมโยงสนับสนุนกันเชื่อว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ธรณีสงฆ์ของจำเลยพระครูนาคเจ้าอาวาสองค์แรกของจำเลยอุทิศถวายให้จำเลยสร้างวัดและทางราชการได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่ดินศาสนสมบัติวัดไว้แล้ว แม้หนังสือรับรองสภาพวัดของกรมการศาสนาและทะเบียนที่ดินศาสนสมบัติวัดที่ระบุว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ธรณีสงฆ์ของจำเลยตามเอกสารหมาย ล.1และ ล.8 จะเป็นเพียงสำเนาเอกสารก็ตาม แต่ก็ปรากฏในเบื้องต้นว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่ทางราชการจัดทำขึ้นและรับรองโดยเฉพาะสำเนาทะเบียนที่ดินศาสนสมบัติวัดตามเอกสารหมาย ล.8มีรายการที่ธรณีสงฆ์ซึ่งมีอาณาเขตที่ดินตรงกับสำเนาทะเบียนที่ดินศาสนสมบัติวัดเอกสารหมาย จ.6 และ จ.11 ที่โจทก์ส่งอ้างเป็นพยานทุกประการ เพียงแต่เลขทะเบียนที่ดินเท่านั้นที่ไม่ตรงกันสำเนาเอกสารหนังสือรับรองสภาพวัดของกรมการศาสนาและสำเนาทะเบียนที่ดินศาสนสมบัติวัดเอกสารหมาย ล.1 และ ล.8 จึงรับฟังได้และเมื่อที่ดินพิพาทเป็นที่ธรณีสงฆ์ของจำเลย ไม่ใช่ที่ดินของโจทก์แล้ว การที่โจทก์ขอออกหนังสือสิทธิครอบครองตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดินเอกสารหมาย จ.1 จึงเป็นการออกทับที่ธรณีสงฆ์ของจำเลยไม่ก่อให้โจทก์ได้สิทธิเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทแต่อย่างใด ทั้งการเข้าพัฒนาที่ดินพิพาทของโจทก์เป็นเพียงการให้บริการแก่ประชาชนผู้อยู่อาศัยในที่ดินพิพาทตามอำนาจหน้าที่ไม่ใช่เป็นการครอบครองเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทตามนัยที่โจทก์ฎีกา
พิพากษายืน

Share