คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2230/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นหญิงบริการในสถานบริการที่มีอาหาร สุรา น้ำชา หรือเครื่องดื่มอื่นจำหน่ายและบริการ โดยมีหญิงบำเรอปรนนิบัติลูกค้า ตามวัน เวลา และสถานที่ตามฟ้องซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสามในข้อหาค้าประเวณีแต่คำเบิกความของพยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมทั้งสามปากที่เบิกความเกี่ยวกับการชักชวนให้มีการร่วมเพศของจำเลยนั้นแตกต่างขัดแย้งกัน ไม่อาจรับฟังได้เป็นที่แน่ชัดว่าจำเลยได้ชักชวนให้พยานโจทก์ร่วมเพศจริงหรือไม่ และจำเลยได้พูดชักชวนให้ร่วมเพศ หรือเจ้าพนักงานตำรวจเพียงแต่สอบถามราคาการร่วมเพศกับจำเลย การที่พยานโจทก์เข้ามาที่ร้านที่เกิดเหตุก็เพื่อจับกุมหญิงให้บริการการค้าประเวณีโดยที่เจ้าพนักงานตำรวจไม่รู้ว่าใครให้บริการการค้าประเวณีและจำเลย ให้บริการการค้าประเวณีหรือไม่ เจ้าพนักงานตำรวจจึงล่อให้จำเลย เพื่อให้จำเลยบริการค้าประเวณีย่อมเป็นการไม่ชอบ ทั้งที่เกิดเหตุ ก็เป็นสถานบริการที่ได้รับอนุญาตจากทางราชการ การที่ เจ้าพนักงานตำรวจเรียกจำเลยมาให้บริการ มีการพากันไป ให้บริการในห้องไม่ว่าจำเลยจะเข้าไปในห้องให้บริการด้วย ความเต็มใจ หรือเจ้าพนักงานตำรวจทั้งสามนายล่อให้ไปบริการในห้องหรือไม่ก็ตาม กรณียังไม่อาจรับฟังได้ว่า ที่จำเลยเข้าไปในห้องกับเจ้าพนักงานตำรวจทั้งสามนายนั้นเป็นการเข้าไปเพื่อให้บริการการค้าประเวณี ทั้งยังปรากฏในทางนำสืบของโจทก์อีกว่า มีการลวนลามจำเลยเพื่อให้มีการร่วมประเวณีเกิดขึ้น เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่จะจับหญิงค้าประเวณีตามที่ได้ รับมอบหมายมา ดังนี้ คำเบิกความของพยานโจทก์ที่อ้างว่า ได้มีการร่วมประเวณีกับจำเลยโดยจำเลยคิดค่าบริการจึงมีกรณี เป็นที่น่าสงสัย อีกทั้งเงินที่อ้างว่าเป็นค่าร่วมประเวณี ก็ไม่ปรากฏว่าได้ยึดเป็นของกลางไว้ พยานหลักฐานโจทก์ มีเหตุแห่งความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยเป็นผู้ให้บริการ การค้าประเวณีอันเป็นความผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลให้ยกประโยชน์ แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสอง

ย่อยาว

คดีทั้งสามสำนวนศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันโดยเรียกจำเลยตามลำดับสำนวนว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3
โจทก์ทั้งสามสำนวนฟ้องว่า จำเลยทั้งสามได้ค้าประเวณีที่สถานการค้าประเวณี คิดค่าจ้างประเวณีครั้งละ 1,050 บาทขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 6
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 6 จำคุกคนละ 1 เดือนปรับคนละ 1,000 บาท โทษจำคุกรอการลงโทษมีกำหนด 1 ปีไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทน
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสามสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าจำเลยทั้งสามเป็นหญิงบริการในสถานบริการที่มีอาหาร สุรา น้ำชาหรือเครื่องดื่มอื่นจำหน่ายและบริการ โดยมีหญิงบำเรอปรนนิบัติลูกค้า(24 ห้อง) มีชื่อว่า ฮันนี่บาร์
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสามได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีพันตำรวจตรีพูนศักดิ์ ประเสริฐเมธ พลตำรวจอำพร จำลองเพ็ง พลตำรวจประพันธ์ ขั้วกลาง และพลตำรวจศุภกิจ การค้า เบิกความเป็นพยานว่า พันตำรวจตรีพูนศักดิ์ สารวัตรปราบปรามสถานีตำรวจภูธรอำเภอศรีราชา ได้ประสานงานกับกองกำกับการสืบสวนสอบสวนภาค 2 เพื่อขอกำลังไปสืบสวนจับกุมการค้าประเวณีที่ร้านฮันนี่บาร์ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2538 เพราะสืบทราบมาว่า สถานบริการดังกล่าวมีหญิงให้บริการค้าประเวณีกับลูกค้า พันตำรวจตรีพูนศักดิ์จึงได้วางแผนกับพลตำรวจอำพรพลตำรวจประพันธ์ และพลตำรวจศุภกิจ เจ้าพนักงานตำรวจจากกองกำกับการสืบสวนสอบสวนภาค 2 โดยนำธนบัตรฉบับละ 1,000 บาทจำนวน 3 ฉบับ ถ่ายสำเนาและลงบันทึกประจำวันไว้ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอศรีราชา พลตำรวจอำพร พลตำรวจประพันธ์และพลตำรวจศุภกิจได้แต่งกายนอกเครื่องแบบทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวนำธนบัตรดังกล่าวและวิทยุติดตัวไปที่สถานบริการร้านฮันนี่บาร์พยานทั้งสามได้สั่งเบียร์และบุหรี่ เรียกจำเลยทั้งสามมานั่งร่วมโต๊ะ ได้สอบถามราคาการร่วมประเวณีและค้างคืนจำเลยที่ 1 บอกว่าค่าบริการคนละ 1,000 บาท ค่าห้อง ๆ ละ 50 บาท พยานทั้งสามได้จ่ายค่าบริการ 3 คน รวมเป็นเงิน 3,150 บาท โดยมอบธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท ที่ได้ถ่ายสำเนาไว้ให้ไป จำเลยทั้งสามได้ร่วมประเวณีกับพยานทั้งสามที่ห้องคนละห้องหลังร้านแล้ว พยานทั้งสามได้แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจควบคุมตัวจำเลยทั้งสามและวิทยุแจ้งพันตำรวจตรีพูนศักดิ์ให้มาตรวจค้นและทำการจับกุมจำเลยทั้งสาม ได้ทำบันทึกการจับกุม แต่จำเลยทั้งสามไม่ยอมลงลายมือชื่อในบันทึกการจับกุมดังกล่าว ในการตรวจค้นไม่พบเงินที่ใช้ล่อให้จำเลยทั้งสามขายบริการการค้าประเวณีพยานโจทก์ทั้งสามปากดังกล่าวจึงเป็นพยานปากต่อปากยันกับจำเลยทั้งสาม ซึ่งศาลต้องพิเคราะห์คำพยานโจทก์ทั้งสามนี้ด้วยความระมัดระวังพันตำรวจตรีพูนศักดิ์ ประเสริฐเมธ พยานโจทก์อีกปากหนึ่งซึ่งเป็นผู้กล่าวหาและจับกุมจำเลยทั้งสามในคดีนี้เบิกความว่า ก่อนจับกุมประมาณ 1 เดือน พยานสืบทราบว่าสถานบริการร้านฮันนี่บาร์ ถนนเทศบาล 1 เขตเทศบาลตำบลศรีราชา อำเภอศรีราชาจังหวัดชลบุรี มีการให้หญิงบริการในร้านค้าประเวณีกับลูกค้าจึงได้สั่งเจ้าพนักงานตำรวจทั้งสามนายไปสืบสวน คือพลตำรวจอำพร จำลองเพ็ง พลตำรวจประพันธ์ ขั้วกลางและพลตำรวจศุภกิจ การค้า โดยถ่ายเอกสารธนบัตรไว้และมอบธนบัตรให้เจ้าพนักงานตำรวจทั้งสามนายไปที่ร้านฮันนี่บาร์โดยตกลงกันว่าเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจทั้งสามนายใช้บริการเสร็จแล้วให้วิทยุแจ้งพยานเพื่อเข้าไปทำการจับกุม และเบิกความในทำนองเดียวกันว่า ได้เข้าไปในร้านฮันนี่บาร์และดื่มเบียร์พยานทั้งสามเรียกจำเลยทั้งสามมานั่งที่โต๊ะ ในระหว่างที่นั่งที่โต๊ะพลตำรวจอำพรเบิกความว่า ได้ถามจำเลยทั้งสามว่าหากร่วมประเวณีค้างคืนคิดค่าบริการเท่าไร จำเลยที่ 1 บอกว่าคิดค่าบริการคนละ1,000 บาท ค่าห้องห้องละ 50 บาท พลตำรวจประพันธ์เบิกความว่าจำเลยทั้งสามได้พูดชักชวนให้พยานไปร่วมประเวณีในห้องพยานได้บอกว่าไปเลย จำเลยทั้งสามถามว่าจะเอาใครบ้างพวกพยานตกลงกันขึ้นห้องทั้งสามคน และพลตำรวจศุภกิจเบิกความว่าจำเลยทั้งสามมานั่งด้วย และจำเลยทั้งสามถามว่าจะเที่ยวหรือไม่ คำว่าเที่ยวคือร่วมเพศ พยานได้สอบถามราคาแล้วจำเลยทั้งสามได้บอกว่าคนละ 1,000 บาท ค่าห้องคนละ 50 บาทคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสามปากที่เบิกความเกี่ยวกับการชักชวนให้มีการร่วมเพศนั้นแตกต่างขัดแย้งกัน ไม่อาจรับฟังได้เป็นที่แน่ชัดว่าจำเลยทั้งสามได้ชักชวนให้พยานโจทก์ทั้งสามร่วมเพศจริงหรือไม่ และจำเลยทั้งสามได้พูดชักชวนให้ร่วมเพศหรือเจ้าพนักงานตำรวจทั้งสามนายเพียงแต่สอบถามราคาการร่วมเพศกับจำเลยทั้งสาม ในการสืบสวนของพันตำรวจตรีพูนศักดิ์ก็สืบสวนได้แต่เพียงว่าร้านฮันนี่บาร์มีหญิงให้บริการการค้าประเวณีเท่านั้นโดยไม่ปรากฏจำเลยทั้งสามหรือหญิงบริการคนใดในร้านดังกล่าวที่ให้บริการการค้าประเวณีกับลูกค้าที่มาเที่ยว การที่พยานโจทก์ทั้งสามเข้ามาที่ร้านฮันนี่บาร์ก็เพื่อที่จะจับกุมหญิงให้บริการการค้าประเวณีโดยที่ไม่รู้ว่าใครให้บริการการค้าประเวณีและจำเลยทั้งสามให้บริการการค้าประเวณีหรือไม่ แล้วทำการล่อให้จำเลยทั้งสามเพื่อให้บริการการค้าประเวณีนั้นจึงเป็นการไม่ชอบทั้งในทางนำสืบของโจทก์ก็ปรากฏว่าร้านฮันนี่บาร์เป็นสถานบริการที่มีอาหาร สุรา น้ำชา หรือเครื่องดื่มอื่นจำหน่ายและบริการโดยมีหญิงบำเรอปรนนิบัติลูกค้า มีห้องบริการจำนวน 24 ห้องอันเป็นสถานบริการที่ได้รับอนุญาตจากทางราชการ การที่เจ้าพนักงานตำรวจทั้งสามนายเรียกจำเลยทั้งสามมาให้บริการมีการพากันไปให้บริการในห้องไม่ว่าจำเลยทั้งสามจะเข้าไปในห้องให้บริการด้วยความเต็มใจ หรือเจ้าพนักงานตำรวจทั้งสามนายล่อให้ไปบริการในห้องหรือไม่ก็ตาม กรณียังไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสามเข้าไปในห้องกับเจ้าพนักงานตำรวจทั้งสามนายนั้นเป็นการเข้าไปเพื่อให้บริการการค้าประเวณี ทั้งยังปรากฏในทางนำสืบของโจทก์อีกว่า เมื่อพยานโจทก์ทั้งสามได้แยกกันเข้าไปในห้องกับจำเลยทั้งสามแล้ว สักครู่ปรากฏว่าพลตำรวจศุภกิจได้ทะเลาะกับจำเลยที่ 2 มีการโต้เถียงกันเสียงดังเนื่องจากจำเลยที่ 2 ไม่ยินยอมให้พลตำรวจศุภกิจจับนมและได้ออกมายืนทะเลาะกันนอกห้องโดยมีจำเลยที่ 1 และที่ 3ออกมายืนดูด้วย ขณะที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ออกมายืนดูนั้นยังไม่ได้ถอดเสื้อผ้าดังที่ปรากฏจากคำเบิกความตอบคำถามค้านของพลตำรวจศุภกิจและพลตำรวจประพันธ์แสดงว่ามีการลวนลามเพื่อให้มีการร่วมประเวณีเกิดขึ้น เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่จะจับหญิงค้าประเวณีตามที่ได้รับมอบหมายมา หลังจากนั้นพยานโจทก์ทั้งสามจึงได้วิทยุเรียกพันตำรวจตรีพูนศักดิ์ให้มายังที่เกิดเหตุ คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสามที่อ้างว่าได้มีการร่วมประเวณีกับจำเลยทั้งสามโดยจำเลยทั้งสามคิดค่าบริการจึงมีกรณีเป็นที่น่าสงสัย เพราะถ้าจำเลยที่ 2 ยินยอมให้ร่วมประเวณีแล้วก็คงไม่ทะเลาะกับพลตำรวจศุภกิจด้วยเสียงอันดังนอกห้องเป็นแน่ อีกทั้งเงินที่อ้างว่าเป็นค่าร่วมประเวณีก็ไม่ปรากฏว่าได้ยึดเป็นของกลางไว้ พยานหลักฐานโจทก์มีเหตุแห่งความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยทั้งสามเป็นผู้ให้บริการการค้าประเวณีอันเป็นความผิดตามฟ้องหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง
พิพากษายืน

Share