คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 864/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้โจทก์เป็นธนาคารพาณิชย์ แต่การที่โจทก์ให้บริการแก่สมาชิกซึ่งทำให้สมาชิกสามารถใช้บัตรที่โจทก์ออกให้ไปใช้ชำระค่าสินค้าหรือบริการได้โดยไม่ต้องนำเงินสดไปชำระในทันที มีลักษณะเป็นกิจการงานบริการอำนวยความสะดวกแก่สมาชิก โดยโจทก์เรียกค่าธรรมเนียมจากสมาชิกด้วยจึงเป็นการประกอบธุรกิจรับทำการงานต่าง ๆ แก่สมาชิกเมื่อโจทก์ชำระเงินแก่เจ้าหนี้ไปแล้วมาเรียกเก็บจากสมาชิกบัตรในภายหลัง จึงเป็นกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจในการรับทำการงานต่าง ๆ เรียกเอาเงินที่ได้ออกทดรองไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(7)การฟ้องเรียกเงินทดรองของโจทก์จึงมีอายุความ 2 ปีโจทก์มีหนังสือถึงจำเลยขอยกเลิกการเป็นสมาชิกบัตรตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม 2534 พร้อมทั้งให้จำเลยชำระหนี้ที่เกิดจากการใช้บัตร ดังนี้อย่างช้าที่สุดจะครบกำหนดอายุความในวันที่ 23 พฤษภาคม 2536 แต่โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2539 จึงขาดอายุความแล้ว การรับสภาพหนี้ด้วยการชำระหนี้บางส่วนที่จะทำให้อายุความสะดุดหยุดลงต้องกระทำก่อนที่จะขาดอายุความ จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์บางส่วนภายหลังจากขาดอายุความแล้ว จึงไม่เป็นการรับสภาพหนี้อันจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลง การชำระหนี้ภายหลังขาดอายุความดังกล่าวมีผลเพียงแต่ทำให้ลูกหนี้เรียกเงินที่ชำระไปคืนไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/28 วรรคหนึ่งเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นสมาชิกบัตรเครดิตธนาคารกรุงศรีอยุธยาของโจทก์ จำเลยนำบัตรเครดิตไปใช้ซื้อสินค้า บริการและเบิกเงินสดล่วงหน้า โจทก์ได้ทดรองจ่ายเงินแทนไปและเรียกเก็บจากจำเลย จำเลยไม่ชำระขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 65,142.40 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี ของต้นเงิน37,505.75 บาท ตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์บอกเลิกสัญญาเมื่อวันที่23 พฤษภาคม 2534 นับถึงวันฟ้องเกิน 2 ปี แล้วคดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นธนาคารพาณิชย์ จำเลยเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของโจทก์ยอมผูกพันตามเงื่อนไขของผู้ถือบัตรตกลงให้โจทก์ทดรองจ่ายเงินอันเนื่องจากจำเลยใช้บัตรเครดิตไปชำระค่าสินค้า ค่าบริการหรือเบิกเงินสดล่วงหน้าโดยจำเลยยอมชำระคืนให้โจทก์ในภายหลัง โจทก์ได้ทดรองจ่ายเงินไปแล้วแต่จำเลยไม่ยอมชำระให้แก่โจทก์ เห็นว่าแม้โจทก์เป็นธนาคารพาณิชย์แต่การที่โจทก์ให้บริการประเภทบัตรเครดิตแก่สมาชิกซึ่งทำให้สมาชิกสามารถใช้บัตรเครดิตที่โจทก์ออกให้ไปใช้ชำระค่าสินค้าหรือบริการได้โดยไม่ต้องนำเงินสดไปชำระในทันที มีลักษณะเป็นกิจการงานบริการอำนวยความสะดวกแก่สมาชิก ทั้งนี้โดยโจทก์เรียกค่าธรรมเนียมจากสมาชิกบัตรด้วย จึงเป็นการประกอบธุรกิจรับทำการงานต่าง ๆ แก่สมาชิก เมื่อโจทก์ชำระเงินแก่เจ้าหนี้ไปแล้วเรียกเก็บจากสมาชิกบัตรในภายหลัง จึงเป็นกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจในการรับทำการงานต่าง ๆ เรียกเอาเงินที่ได้ออกทดรองไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(7) การฟ้องเรียกเงินทดรองของโจทก์จึงมีอายุความ 2 ปี ปรากฏว่าโจทก์มีหนังสือถึงจำเลยขอยกเลิกการเป็นสมาชิกบัตรเครดิตตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม 2534 พร้อมทั้งให้จำเลยชำระหนี้ที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตดังนี้อย่างช้าที่สุดจะครบกำหนดอายุความในวันที่ 23 พฤษภาคม 2536 แต่โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2539 หลังครบกำหนดอายุความแล้วส่วนปัญหาที่โจทก์อุทธรณ์อีกข้อหนึ่งว่า เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2538 จำเลยได้ชำระหนี้บางส่วนให้แก่โจทก์เป็นการรับสภาพหนี้ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงนั้น เห็นว่า อายุความคดีนี้มีกำหนด 2 ปี อายุความครบกำหนดในวันที่ 23 พฤษภาคม 2536 การรับสภาพหนี้ด้วยการชำระหนี้บางส่วนที่จะทำให้อายุความสะดุดหยุดลง ต้องกระทำก่อนที่จะขาดอายุความคดีนี้จำเลยชำระหนี้บางส่วนเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2538 เป็นการชำระภายหลังจากขาดอายุความแล้ว จึงไม่เป็นการรับสภาพหนี้อันจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลง การชำระหนี้ภายหลังขาดอายุความแล้วเพียงแต่ทำให้ลูกหนี้เรียกคืนไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/28 วรรคหนึ่ง เท่านั้น
พิพากษายืน

Share