แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ช.เช่ารถยนต์ของผู้เสียหายไปขับแล้วไม่ส่งคืนโดยเจตนาจะนำไปขาย เป็นความผิดฐานยักยอก ต่อมาผู้เสียหายขอถอนคำร้องทุกข์ ช.ฐานยักยอกทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้อง ช. ย่อมระงับไป ส่วนความผิดฐานยักยอกยังคงอยู่จำเลยรับรถยนต์ไว้โดยรู้อยู่ว่าเป็นของร้าย มีความผิดฐานรับของโจร
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357,83
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 จำคุกคนละ 2 ปีลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ1 ปี 4 เดือน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า นายชัยชาญได้เช่ารถยนต์จากผู้เสียหายไปใช้ขับขี่ เมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่าแล้ว นายชัยชาญมิได้นำรถไปส่งคืนเจ้าพนักงานตำรวจไปพบรถและนำกลับคืนมาได้จากอำเภอประจันตคาม จังหวัดปราจีนบุรี เพราะจะนำส่งขายประเทศกัมพูชา รถยนต์คันนี้เช่าที่จังหวัดภูเก็ตตามสัญญาเช่ารถ ผู้เช่าจะต้องใช้รถยนต์ที่เช่าภายในเขตจังหวัดภูเก็ตเท่านั้นการที่นายชัยชาญครอบครองรถที่เช่าแล้วจงใจไม่ส่งคืนเป็นเวลา10 วัน โดยมิได้แจ้งถึงเหตุที่ไม่ส่งรถที่เช่าคืนให้แก่ผู้เสียหายทราบ ทั้งได้ขับออกนอกเขตจังหวัดภูเก็ตไปไกลถึงอำเภอประจันตคามจังหวัดปราจีนบุรี ใกล้กับประเทศกัมพูชา จึงชี้ให้เห็นว่านายชัยชาญมีเจตนายักยอกทรัพย์แล้ว
ปัญหาข้อต่อไปมีว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดฐานรับของโจรหรือไม่ จำเลยทั้งสองมีเจตนาช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่ายช่วยพาเอาไปเสีย หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งรถยนต์คันดังกล่าวโดยรู้ว่าเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานยักยอกทรัพย์แม้ต่อมาผู้เสียหายจะได้ถอนคำร้องทุกข์ให้นายชัยชาญผู้กระทำผิดฐานยักยอกทรัพย์ ทำให้สิทธินำคดีอาญาฐานยักยอกทรัพย์มาฟ้องระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) ก็ตามจำเลยทั้งสองก็ยังคงมีความผิดฐานรับของโจรตามฟ้อง
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น