คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5001/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามฟ้องของโจทก์กล่าวโดยสรุปว่า โจทก์มอบให้สำนักงานของจำเลยฟ้อง ส. ซึ่งเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาเป็นคดีล้มละลายต่อศาลชั้นต้นซึ่งจำเลยร่วมทนายประจำสำนักงานของจำเลยเป็นผู้ดำเนินการ ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด สำนักงานของจำเลยมีหน้าที่ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้รายนี้ แต่ปล่อยเวลาล่วงเลยจนพ้นกำหนดโดยไม่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ เป็นเหตุให้โจทก์หมดสิทธิได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้รายนี้ ทั้งที่ลูกหนี้มีทรัพย์พอชำระหนี้ได้ ขอให้บังคับจำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายตามจำนวนหนี้ที่ลูกหนี้ค้างชำระโจทก์อยู่ตามคำฟ้องดังกล่าวโจทก์อ้างว่าจำเลยต้องรับผิดเพราะเหตุที่โจทก์หมดสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้แต่คดีล้มละลายดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกเลิกการล้มละลายของ ส. ลูกหนี้ (จำเลย) ตามมาตรา 135(2)แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ซึ่งไม่ทำให้ลูกหนี้หลุดพ้นหนี้สินที่มีอยู่แต่อย่างใด โจทก์จึงยังไม่หมดสิทธิที่จะได้ชำระหนี้จากลูกหนี้โดยยังมีสิทธิขอบังคับคดีตามคำพิพากษาในคดีแพ่งเดิมที่โจทก์อาศัยมาเป็นมูลหนี้ในการฟ้องลูกหนี้เป็นคดีล้มละลายได้ ดังนี้เมื่อข้ออ้างของโจทก์ที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาให้จำเลยและจำเลยร่วมต้องรับผิดมิได้เป็นไปดังที่โจทก์อ้าง จึงไม่อาจจะบังคับให้จำเลยและจำเลยร่วมรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้องได้ แต่การที่จำเลยและจำเลยร่วมไม่ยื่นคำรับชำระหนี้ดังกล่าวให้แก่โจทก์ เป็นการไม่ปฏิบัติ หน้าที่ตามสัญญาให้สำเร็จลุล่วงต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยได้ ศาลจึงไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/17

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2534 จำเลยทำสัญญารับจ้างว่าความให้โจทก์ มีข้อตกลงว่าโจทก์จะส่งมอบคดีความของโจทก์ให้สำนักงานทนายความของจำเลยดำเนินการติดตามทวงถามและฟ้องบังคับคดีให้ ซึ่งจำเลยจะมอบหมายให้ทนายความประจำสำนักงานคนใดของจำเลยเป็นผู้ดำเนินการก็ได้แต่ต้องอยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยผู้เป็นคู่สัญญา หากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ตกลงเป็นเหตุให้โจทก์เสียหายโจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยใช้ค่าเสียหายได้ โจทก์มอบหมายให้สำนักงานจำเลยดำเนินคดีล้มละลายลูกหนี้รายนายสว่าง นรินทวานิชซึ่งเป็นหนี้ตามคำพิพากษา จำเลยมอบหมายให้นายนิพัทธ์ ทิพยาธรซึ่งเป็นทนายความประจำสำนักงานของจำเลยเป็นผู้ดำเนินคดี เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว จำเลยไม่ดำเนินการยื่นคำขอรับชำระหนี้จนพ้นกำหนดเวลา เป็นเหตุให้โจทก์หมดสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ทั้งที่ลูกหนี้มีทรัพย์สินพอชำระหนี้ได้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 450,163.99 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 446,039.65 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกนายนิพัทธ์ ทิพยาธรเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องใหม่
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โดยโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะฟ้องใหม่
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยและจำเลยร่วมต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายตามฟ้องแก่โจทก์นั้น ตามฟ้องของโจทก์กล่าวโดยสรุปว่าโจทก์มอบให้สำนักงานของจำเลยฟ้องนายสว่างนรินทวานิช ซึ่งเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาเป็นเงิน 446,039.65 บาท เป็นคดีล้มละลายต่อศาลชั้นต้นซึ่งจำเลยร่วมทนายประจำสำนักงานของจำเลยเป็นผู้ดำเนินการตามคดีล้มละลายหมายเลขดำที่ ล.675/2533หมายเลขแดงที่ ล.849/2533 ของศาลชั้นต้น ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2533สำนักงานของจำเลยมีหน้าที่ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้รายนี้ แต่ปล่อยเวลาล่วงเลยจนพ้นกำหนดโดยไม่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ เป็นเหตุให้โจทก์หมดสิทธิได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้รายนี้ ทั้งที่ลูกหนี้มีทรัพย์พอชำระหนี้ได้จำเลยจึงต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายตามจำนวนหนี้ที่ลูกหนี้ค้างชำระโจทก์อยู่ ตามคำฟ้องโจทก์อ้างว่าจำเลยต้องรับผิดเพราะเหตุที่โจทก์หมดสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ แต่ปรากฏตามคดีล้มละลายดังกล่าวว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกเลิกการล้มละลายของนายสว่าง นรินทวานิชลูกหนี้ (จำเลย) ตามมาตรา 135(2) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 ซึ่งการยกเลิกการล้มละลายตาม มาตรา 135(2)ย่อมไม่ทำให้ลูกหนี้หลุดพ้นหนี้สินที่มีอยู่แต่อย่างใด ทั้งนี้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 136 โจทก์จึงยังไม่หมดสิทธิที่จะได้ชำระหนี้จากลูกหนี้โดยยังมีสิทธิขอบังคับคดีตามคำพิพากษาในคดีแพ่งเดิมที่โจทก์อาศัยมาเป็นลูกหนี้ในการฟ้องลูกหนี้เป็นคดีล้มละลายได้ข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าทำให้โจทก์ที่ว่าทำให้โจทก์หมดสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จึงไม่อาจรับฟังได้ เมื่อข้ออ้างของโจทก์ที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาให้จำเลยและจำเลยร่วมต้องรับผิดมิได้เป็นไปดังที่โจทก์อ้างก็ไม่อาจจะบังคับให้จำเลยและจำเลยร่วมรับผิดต่อโจทก์ได้อย่างไรก็ตามการที่จำเลยและจำเลยร่วมไม่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ดังกล่าวให้แก่โจทก์ เป็นการไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาให้สำเร็จลุล่วงต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยได้ จึงไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/17
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share