แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยฟ้องจำเลยทั้งสองให้ร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ เนื่องจากจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ ของผู้มีชื่อที่ได้เอาประกันภัยไว้กับโจทก์ได้รับความเสียหายโดยจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดในผลละเมิดกับจำเลยที่ 1ตามกฎหมาย และโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยได้รับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยฟ้องร้องจำเลยทั้งสองโดยอาศัยอำนาจตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 มิใช่เป็นการฟ้องร้อง บังคับคดีตามสัญญาประกันภัย จึงไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับแห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 867 วรรคแรกและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 เพราะมิใช่กรณีที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดงจึงไม่ต้องนำพยานเอกสารมาแสดง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน บ-0433 เพชรบุรี ตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2532 มีกำหนด 1 ปี จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 2 และเป็นผู้ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-3157 ปราจีนบุรี ของจำเลยที่ 2 ในทางการที่จ้างหรือมอบหมายสั่งการจากจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2533เวลาประมาณ 8 นาฬิกา นายสำราญ ทัมทิมไกร ได้ขับรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้จากอำเภอแก่งคอยมุ่งหน้าไปตลาดบ้านนา เมื่อมาถึงบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 31 ถึง 32 จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-3157 ปราจีนบุรี ของจำเลยที่ 2 บรรทุกทรายมาในทางการที่จ้างหรือมอบหมายสั่งการจากจำเลยที่ 2 แล่นส่วนทางมาด้วยความเร็วสูงและด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงแซงรถยนต์คันอื่นเข้ามาชนรถยนต์ที่นายสำราญขับในช่องเดินรถของนายสำราญเป็นเหตุให้รถยนต์คันที่นายสำราญขับได้รับความเสียหายโจทก์ได้ซ่อมรถยนต์คันดังกล่าวเป็นเงินค่าซ่อม ค่าอะไหล่และค่าลากรถจำนวน 159,869 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ต้นเงินและดอกเบี้ยนับแต่วันทำละเมิดถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน 171,859.18 บาทและดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 159,869 บาท นับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์มิได้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน บ-0433 เพชรบุรี กรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวไม่สมบูรณ์เนื่องจากผู้รับประกันภัยมิได้ลงลายมือชื่อครบถ้วนและประทับตราสำคัญของโจทก์ ไม่มีผลบังคับได้ตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 159,869 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 28 ธันวาคม2533 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1ใช้ค่าเสียหายจำนวน 159,869 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2533 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นว่า เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2533 เวลากลางวัน จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์บรรทุกหกล้อหมายเลขทะเบียน 80-3157 ปราจีนบุรีของจำเลยที่ 2 โดยประมาทเลินเล่อชนกับรถยนต์ปิกอัพหมายเลขทะเบียนบ-0433 เพชรบุรี ของนายวิชัย ทับทิมไทร ซึ่งนายสำราญ ทับทิมไทรเป็นคนขับ และโจทก์เป็นผู้รับประกันภัย ระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 31ถึง 32 ในถนนสายบ้านนาถึงแก่งคอย ตำบลเขาเพิ่ม อำเภอบ้านนาจังหวัดนครนายก เป็นเหตุให้รถยนต์ปิกอัพของนายวิรัชได้รับความเสียหายตามภาพถ่ายหมาย จ.4 (22 ภาพ)
พิเคราะห์แล้ว จำเลยที่ 2 ฎีกาข้อแรกว่า กรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.3 เป็นเพียงสำเนา ซึ่งไม่มีกรรมการของโจทก์ลงลายมือชื่อและประทับตราบริษัทโจทก์ให้ครบถ้วนตามหนังสือรับรองการจดทะเบียนของโจทก์ และไม่มีเจ้าพนักงานลงชื่อรับรองความถูกต้องของเอกสาร ดังนั้น กรมธรรม์ประกันภัยที่โจทก์อ้างจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายบังคับบุคคลภายนอกไม่ได้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเห็นว่า คดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยฟ้องจำเลยทั้งสองให้ร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ เนื่องจากจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ของผู้มีชื่อที่ได้เอาประกันภัยไว้กับโจทก์ได้รับความเสียหาย โดยจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดในผลละเมิดกับจำเลยที่ 1 ตามกฎหมาย และโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยได้รับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยฟ้องร้องจำเลยทั้งสอง โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 มิใช่เป็นการฟ้องร้องบังคับคดีตามสัญญาประกันภัยแต่อย่างใดจึงไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 867 วรรคแรก และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94เพราะมิใช่กรณีที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดงคดีของโจทก์ดังกล่าวจึงไม่อยู่ในบังคับแห่งบทกฎหมายที่ต้องนำพยานเอกสารมาแสดง แม้โจทก์ได้ฟ้องและนำสืบอ้างสำเนากรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.3 ซึ่งมีข้อโต้แย้งดังที่จำเลยที่ 2 ฎีกา แต่โจทก์ก็มีนายวิรัช ทับทิมไทร เจ้าของรถยนต์ปิกอัพหมายเลขทะเบียน บ-0433เพชรบุรี คันเกิดเหตุมาเบิกความยืนยันว่า เป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้กับโจทก์ตามสำเนากรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.3จำเลยที่ 2 ไม่นำสืบโต้แย้งให้เห็นเป็นอย่างอื่น พยานบุคคลดังกล่าวจึงพอฟังได้ว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ปิกอัพหมายเลขทะเบียน บ-0433 เพชรบุรี เมื่อจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดทำให้รถยนต์คันดังกล่าวเสียหาย โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยซึ่งได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปแล้ว ย่อมได้รับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องผู้ทำละเมิดและผู้ต้องร่วมรับผิดในผลละเมิดตามกฎหมายให้ร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ได้ ฎีกาจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน