คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4068/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ร่วมกันรับผิดเพราะจำเลยที่ 1 ทำละเมิด เป็นเหตุให้รถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหาย โดยจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1ด้วยในฐานะนายจ้าง โจทก์ได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยไปครบถ้วนแล้วจึงรับช่วงสิทธิมาเรียกร้องเอาแก่จำเลยทั้งสองตามกฎหมาย ซึ่งจำเลยทั้งสองมีหน้าที่ร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ได้ชำระแก่ผู้เอาประกันภัยพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่ชำระไป จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา กรณีย่อมไม่มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่าหากจำเลยทั้งสองชำระค่าสินไหมทดแทนและดอกเบี้ยครบถ้วนแล้วกรรมสิทธิ์ในรถยนต์จะต้องตกเป็นของจำเลยทั้งสองหรือไม่เพราะจำเลยทั้งสองมิได้ให้การต่อสู้หรือฟ้องแย้งเป็นประเด็นไว้เช่นนั้น การที่ผู้เอาประกันภัยต้องโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ที่เอาประกันภัยให้แก่โจทก์นั้น เป็นไปตามเงื่อนไขและข้อตกลงในกรมธรรม์ประกันภัยซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างโจทก์และผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นคู่สัญญาโดยเฉพาะจำเลยทั้งสองซึ่งต้องร่วมกันรับผิดฐานละเมิดหาได้มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นคู่สัญญาอันจะทำให้มีสิทธิและหน้าที่หรือได้รับประโยชน์ตามข้อตกลงหรือเงื่อนไขดังกล่าวในกรมธรรม์ด้วยไม่ ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า หากจำเลยทั้งสองชดใช้ค่าสินไหมทดแทนและดอกเบี้ยครบถ้วนแล้ว ให้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ตกเป็นของจำเลยทั้งสองนั้นจึงเป็นการพิพากษาหรือทำคำสั่งให้สิ่งใด ๆ เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 3ฌ-9947 กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ 2 ในทางการที่จ้างหรือตามที่ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 2 โดยประมาทเลินเล่อชนท้ายรถยนต์หมายเลขทะเบียน6อ-9047 กรุงเทพมหานคร ขณะจอดรอสัญญาณไฟจราจรบริเวณสี่แยกกองทัพอากาศถนนวิภาวดีรังสิต เป็นเหตุให้รถยนต์หมายเลขทะเบียน 6อ-9047 กรุงเทพมหานครกระเด็นไปชนท้ายรถยนต์ที่จอดอยู่ด้านหน้าอีกทอดหนึ่ง รถยนต์หมายเลขทะเบียน6อ-9047 กรุงเทพมหานคร พังเสียหายทั้งคันไม่อาจซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพเดิมได้โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวจึงชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เอาประกันภัย ในลักษณะคืนทุนทรัพย์ประกันภัยเป็นเงิน 300,000 บาท โจทก์จึงได้รับช่วงสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่โจทก์จ่ายเงินถึงวันฟ้องจำนวน 15,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 315,000 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จากเงิน 300,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น

จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน300,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2537 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแต่ดอกเบี้ยถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2538 ซึ่งเป็นวันฟ้องต้องไม่เกิน 15,000 บาท ถ้าหากจำเลยทั้งสองชดใช้ค่าสินไหมทดแทนและดอกเบี้ยครบถ้วนแล้ว ให้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์หมายเลขทะเบียน 6อ-9047 กรุงเทพมหานคร ตกเป็นของจำเลยทั้งสอง

โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติโดยคู่ความมิได้อุทธรณ์โต้แย้งว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 โดยประมาทเลินเล่อชนท้ายรถยนต์หมายเลขทะเบียน 6อ-9047 กรุงเทพมหานครซึ่งโจทก์รับประกันภัยไว้ เป็นเหตุให้รถยนต์คันดังกล่าวเสียหายทั้งคันไม่อาจซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพเดิมได้ โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เอาประกันภัยเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2537 ในลักษณะคืนทุนประกันภัยเป็นเงิน 300,000 บาทและเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยมาฟ้องร้องจำเลยทั้งสองให้ร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย ปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่าที่ศาลชั้นต้นพิพากษาในตอนหนึ่งว่า “หากจำเลยทั้งสองชดใช้ค่าสินไหมทดแทนและดอกเบี้ยครบถ้วนแล้วให้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 6อ-9047 กรุงเทพมหานคร ตกเป็นของจำเลยทั้งสอง” นั้นเป็นการพิพากษาหรือทำคำสั่งให้สิ่งใด ๆ เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ร่วมกันรับผิด เพราะจำเลยที่ 1 กระทำละเมิด เป็นเหตุให้รถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหาย โดยจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วยในฐานะนายจ้างโจทก์ได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยไปครบถ้วนแล้วจึงรับช่วงสิทธิมาเรียกร้องเอาแก่จำเลยทั้งสองตามกฎหมาย ซึ่งจำเลยทั้งสองมีหน้าที่ร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ได้ชำระแก่ผู้เอาประกันภัยไปแล้ว พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่ชำระไป จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณากรณีย่อมไม่มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า หากจำเลยทั้งสองชำระค่าสินไหมทดแทนและดอกเบี้ยครบถ้วนแล้วกรรมสิทธิ์ในรถยนต์หมายเลขทะเบียน 6อ-9047 กรุงเทพมหานคร จะต้องตกเป็นของจำเลยทั้งสองหรือไม่ เพราะจำเลยทั้งสองมิได้ให้การต่อสู้หรือฟ้องแย้งเป็นประเด็นไว้เช่นนั้น การที่ผู้เอาประกันภัยต้องโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ที่เอาประกันภัยให้แก่โจทก์นั้น เป็นไปตามเงื่อนไขและข้อตกลงในกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.3 ข้อ 3.5.4 ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างโจทก์และผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นคู่สัญญากันโดยเฉพาะจำเลยทั้งสองซึ่งต้องร่วมกันรับผิดฐานละเมิดหาได้มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นคู่สัญญาอันจะทำให้มีสิทธิและหน้าที่หรือได้รับประโยชน์ตามข้อตกลงหรือเงื่อนไขดังกล่าวในกรมธรรม์เอกสารหมาย จ.3 ข้อ 3.5.4ด้วยไม่ การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าหากจำเลยทั้งสองชดใช้ค่าสินไหมทดแทนและดอกเบี้ยครบถ้วนแล้ว ให้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์หมายเลขทะเบียน 6อ-9047 กรุงเทพมหานคร ตกเป็นของจำเลยทั้งสองนั้น จึงเป็นการพิพากษาหรือทำคำสั่งให้สิ่งใด ๆเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ตัดข้อความที่ว่า “ถ้าหากจำเลยทั้งสองชดใช้ค่าสินไหมทดแทนและดอกเบี้ยครบถ้วนแล้วให้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์หมายเลขทะเบียน 6อ-9047กรุงเทพมหานคร ตกเป็นของจำเลยทั้งสอง” ออกจากคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share