คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 613/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ร่วมเป็นผู้รับฝากเงินเป็นอาชีพโดยหวังผลประโยชน์ในบำเหน็จค่าฝากหรือจากการเอาเงินของผู้ฝากไปใช้ประโยชน์ได้ทั้งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้บัญญัติเกี่ยวกับวิธีเฉพาะการฝากเงินไว้ตามมาตรา672ว่าผู้รับฝากไม่พึงต้องส่งคืนเป็นเงินทองตราอันเดียวกับที่ฝากแต่จะต้องคืนเงินให้ครบจำนวนดังนั้นเงินที่ฝากไว้ย่อมเป็นเงินของโจทก์ร่วมโจทก์ร่วมจึงมีอำนาจฟ้องในความผิดเกี่ยวกับเงินดังกล่าว จำเลยเป็นผู้ปลอมลายมือชื่อของส. ในใบคำขอใช้บริการบัตรเอ.ที.เอ็ม.แล้วนำมายื่นต่อโจทก์ร่วมเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมออกบัตรเอ.ที.เอ็ม.ส่งมาให้ธนาคารโจทก์ร่วมสาขาท่าพระ แล้วจำเลยลักบัตรนั้นรวมทั้งซองบรรจุรหัสเพื่อใช้กับบัตรเอ.ที.เอ็ม.ในชื่อของส. จากนั้นจำเลยนำบัตรเอ.ที.เอ็ม.ดังกล่าวไปถอนเงินของโจทก์ร่วมที่เป็นนายจ้างของจำเลยจากเครื่องฝาก-ถอนอัตโนมัติครั้งละ10,000บาทรวม16ครั้งการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้างตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา335(11)17กระทงและความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา264และ268อีกกระทงหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91,264, 268, 334, 335 และริบของกลาง กับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 160,030 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลย ให้การ ปฎิเสธ
ระหว่างพิจารณาธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคแรก, มาตรา 268 วรรคสองและมาตรา 335(11) วรรคแรก (ที่ถูกมาตรา 335(11) วรรคสอง)เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานปลอมและใช้เอกสารปลอมวางโทษจำคุก 2 ปี ฐานลักทรัพย์นายจ้างรวม 17 กระทง วางโทษจำคุกกระทงละ 2 ปี เป็นจำคุก 34 ปี รวมโทษทุกกระทงเป็นจำคุก 36 ปีแต่เนื่องจากอัตราโทษสำหรับความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสามปีแต่ไม่เกินสิบปี กรณีตกอยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(2) คงจำคุกจำเลยทั้งสิ้นมีกำหนด20 ปี ริบของกลาง และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน120,030 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะความผิดเกี่ยวกับเอกสารนั้นจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคแรก และมาตรา 268 วรรคแรก ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมแต่กระทงเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสอง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลย ประการแรกว่า เงินที่นายสุรจันทร์ สาเรืองฝากไว้กับโจทก์ร่วมเป็นเงินของนายสุรจันทร์ โจทก์ร่วมจึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า โจทก์ร่วมเป็นผู้รับฝากเงินเป็นอาชีพโดยหวังผลประโยชน์ในบำเหน็จค่าฝากหรือจากการเอาเงินของผู้ฝากไปใช้ประโยชน์ได้ ทั้งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้บัญญัติเกี่ยวกับวิธีเฉพาะการฝากเงินไว้ตามมาตรา 672 ว่า ผู้รับฝากไม่พึงต้องส่งคืนเป็นเงินทองตราอันเดียวกับที่ฝาก แต่จะต้องคืนเงินให้ครบจำนวน ดังนั้น เงินที่ฝากไว้ย่อมได้ชื่อว่าเป็นเงินของโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมจึงมีอำนาจฟ้อง ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่า จำเลยได้กระทำความผิดดังศาลอุทธรณ์พิพากษามาหรือไม่นั้น คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองปากดังกล่าวจึงน่าเชื่อถือทั้งสอดคล้องต้องกันกับคำเบิกความของพยานโจทก์ปากอื่นและรับกันกับเอกสารที่โจทก์ส่งอ้าง จึงประกอบชอบด้วยเหตุผลมีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่า จำเลยเป็นผู้ปลอมลายมือชื่อของนายสุรจันทร์ สาเรือง ในใบคำขอใช้บริการบัตร เอ.ที.เอ็ม.เอกสารหมาย จ.2 แล้วนำมายื่นต่อโจทก์ร่วม เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมออกบัตรกรุงศรี เอ.ที.เอ็ม. ส่งมาให้ธนาคารโจทก์ร่วม สาขาท่าพระแล้วจำเลยลักบัตรนั้น รวมทั้งซองบรรจุรหัสเพื่อใช้กับบัตรกรุงศรี เอ.ที.เอ็ม. ในชื่อของนายสุรจันทร์ สาเรือง ไปต่อจากนั้นจำเลยจึงได้นำบัตรกรุงศรี เอ.ที.เอ็ม. ดังกล่าวไปถอนเงินของโจทก์ร่วมที่เป็นนายจ้างของจำเลยจากเครื่องฝาก-ถอนอัตโนมัติครั้งละ 10,000 บาท รวม 16 ครั้ง ไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดดังศาลอุทธรณ์วินิจฉัย พยานจำเลยไม่อาจหักล้างพยานโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share