แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ทางพิพาทเกิดขึ้นหลังจากส. ขายที่ดินให้จำเลยแล้วต่อมาส. ปักเสาไฟฟ้าโดยได้รับอนุญาตจากจำเลยจึงเกิดเป็นถนนสายเล็กๆขึ้นโดยปริยายประมาณ10ปีเศษทางพิพาทจึงไม่ใช่ทางสาธารณะแต่เป็นที่ดินของจำเลยซึ่งโจทก์เป็นบุคคลอื่นอาศัยสัญจรโดยถือวิสาสะหาเข้าลักษณะเป็นการใช้สิทธิโดยปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382ไม่แม้โจทก์จะใช้ทางพิพาทผ่านที่ดินของจำเลยมากกว่า10ปีทางพิพาทก็ไม่ตกเป็นภาระจำยอมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1401 แม้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1349จะกำหนดให้ผู้มีสิทธิใช้ทางจำเป็นมีหน้าที่ต้องใช้ค่าทดแทนแก่ผู้เปิดทางให้ก็ตามแต่ก็มิได้บังคับให้ใช้ค่าทดแทนก่อนจึงจะใช้สิทธิได้ในทางตรงกันข้ามเจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่มีหน้าที่ต้องเปิดทางให้ผ่านและมีสิทธิเรียกค่าทดแทนเช่นเดียวกันเมื่อโจทก์ไม่เสนอค่าทดแทนแก่จำเลยและจำเลยมิได้ฟ้องแย้งเรียกค่าทดแทนจากโจทก์คดีจึงไม่มีประเด็นเรื่องค่าทดแทนจำเลยชอบที่จะว่ากล่าวเอากับโจทก์เป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 233 จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินที่มีแนวเขตติดต่อกับที่ดินของโจทก์ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 232 การออกสู่ถนนใหญ่โจทก์กับครอบครัวและประชาชนทั่วไปเดินผ่านที่ดินของจำเลยซึ่งเป็นทางสาธารณะ ทางภารจำยอมหรือทางจำเป็นเป็นเวลานานกว่า 40 ปีแล้ว ต่อมาจำเลยปิดทางดังกล่าวทำให้โจทก์กับครอบครัวและประชาชนทั่วไปไม่สามารถใช้ประโยชน์จากถนนดังกล่าวได้ขอให้บังคับจำเลยเปิดทางพิพาท หากไม่ยอมเปิดก็ให้โจทก์เปิดเองโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 7,700 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับชำระค่าเสียหายวันละ 300 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะยอมเปิดทางพิพาทให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะไม่บรรยายให้ชัดแจ้งว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ ทางภารจำยอมหรือทางจำเป็น โจทก์และครอบครัวใช้ทางพิพาทมาไม่ถึง 40 ปี และประชาชนทั่วไปไม่เคยใช้ทางพิพาทเป็นทางออกสู่ทางสาธารณะ หากทางพิพาทเป็นทางจำเป็นก็ขอให้โจทก์ชดใช้ค่าทดแทน 300,000 บาท ให้แก่จำเลย และชำระเป็นรายปี ๆ ละ 3,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยเปิดทางให้โจทก์และบริวารผ่านที่ดินของจำเลยตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 232 ตำบลคูหา อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลากว้าง 3 เมตร ยาว 40 เมตร จดที่ดินของโจทก์ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 233 ตำบลคูหา อำเภอสะบ้าย้อยจังหวัดสงขลา โดยให้โจทก์ชำระเงิน 30,000 บาท และชำระเป็นรายปีปีละ 2,300 บาท นับแต่ปี 2538 เป็นต้นไปตลอดระยะเวลาที่โจทก์ยังใช้ทางจำเป็นแก่จำเลยคำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า โจทก์ไม่ต้องเสียค่าทดแทนให้แก่จำเลยแต่ไม่ตัดสิทธิจำเลยจะไปว่ากล่าวกับโจทก์เป็นอีกคดีหนึ่งนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ และ จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นที่โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยเป็นทางออกไปสู่ถนนเขาแดงสะบ้าย้อยอันเป็นทางสาธารณะ
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ ทางภารจำยอมหรือไม่ เห็นว่า สภาพของทางพิพาทตามแผนที่ทางพิพาทโดยสังเขปเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 ปรากฏว่าทางพิพาทผ่านที่สวนของจำเลยไปสิ้นสุดที่ที่ดินของโจทก์และเป็นทางตัน มีบ้านปลูกอยู่ปลายทางเพียง 2 หลัง คือบ้านของโจทก์และบ้านของนางแผ้ว สุขแก้ว พยานโจทก์ นางแผ้วเบิกความว่า นอกจากพยานใช้ทางพิพาทแล้วยังมีบุคคลภายนอกใช้ทางพิพาทด้วยเพราะเดินทางเข้าไปในสวน ไม่ปรากฎว่าสาธารณชนทั่วไปใช้ทางพิพาทแต่อย่างใดนายเสริม แก้วเจริญ ให้ถ้อยคำต่อปลัดอำเภอตามสำเนาเอกสารเกี่ยวกับความแพ่งเอกสารหมาย จ.6 ว่า เส้นทางดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากนายเสริมได้ขายที่ดินให้จำเลยแล้ว และจำเลยได้ปลูกยางพาราและสวนมะพร้าว ต่อมานายเสริมได้ปักเสาไฟฟ้าโดยได้รับอนุญาตจากจำเลยจึงเกิดเป็นถนนสายเล็ก ๆ ขึ้นโดยปริยายประมาณ 10 ปีเศษ ข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวฟังได้ว่า ทางพิพาทไม่ใช่ทางสาธารณะ หากแต่เป็นที่ดินของจำเลยซึ่งโจทก์และบุคคลอื่นอาศัยสัญจรโดยการถือวิสาสะหาเข้าลักษณะเป็นการใช้สิทธิโดยปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382ไม่ ฉะนั้นแม้โจทก์จะใช้ทางพิพาทผ่านที่ดินของจำเลยมากกว่า 10 ปีทางพิพาทก็ไม่ตกเป็นภารจำยอมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1401
ที่จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิจะผ่านที่ดินของผู้อื่นต้องใช้ค่าทดแทนแก่เจ้าของที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 ศาลอุทธรณ์ภาค 3ไม่กำหนดให้โจทก์ใช้ค่าทดแทนแก่จำเลย จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า แม้กฎหมายมาตรานี้จะบัญญัติให้ผู้มีสิทธิใช้ทางจำเป็นมีหน้าที่ต้องใช้ค่าทดแทนแก่ผู้เปิดทางให้ก็ตาม แต่ก็มิได้บังคับให้ใช้ค่าทดแทนก่อนจึงจะใช้สิทธิได้ ในทางตรงกันข้ามเจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่มีหน้าที่ต้องเปิดทางให้ผ่านและมีสิทธิเรียกค่าทดแทนเช่นเดียวกัน คดีนี้โจทก์ไม่ได้เสนอค่าทดแทนแก่จำเลย และจำเลยมิได้ฟ้องแย้งเรียกค่าทดแทนจากโจทก์ คดีจึงไม่มีประเด็นที่จะวินิจฉัยในเรื่องค่าทดแทนว่าควรจะเป็นจำนวนเท่าใด จำเลยชอบที่จะว่ากล่าวเอากับโจทก์ในเรื่องนี้เป็นคดีหนึ่งต่างหากจากคดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์และจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน