คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3457/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เมื่อ ส.ถึงแก่กรรมที่ดินของส. เป็นทรัพย์มรดกตกทอดแก่บุตรซึ่งเป็นทายาทของ ส.ทุกคนโจทก์กับร.กับทายาทคนอื่นรวม 7 คน จึงเป็นเจ้าของรวมในที่ดินทรัพย์มรดกเมื่อมรดกของ ส.ยังมิได้แบ่งปันระหว่างทายาทร.ทายาทคนหนึ่งจะนำที่ดินทรัพย์มรดกไปทำสัญญาจะซื้อจะขายให้จำเลยทั้งแปลง โดยทายาทคนอื่นซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมมิได้ยินยอมด้วยก็ถือว่าทำไปโดยไม่มีสิทธิคงผูกพันเฉพาะร.เท่านั้นแม้สัญญาจะซื้อจะขายจะมีผลผูกพันร.จำเลยก็มีสิทธิเพียงเรียกร้องบังคับเหนือ ร. ในฐานะคู่สัญญาได้เท่านั้น เมื่อโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมในการทำสัญญาจะซื้อจะขายหรือมอบโฉนดที่ดินให้จำเลยยึดถือไว้ขอให้จำเลยส่งโฉนดเพื่อที่โจทก์จะนำไปแบ่งแยกเป็นชื่อของโจทก์และทายาทคนอื่นในฐานะผู้มีสิทธิรับมรดกจึงเป็นสิทธิอันชอบของโจทก์ จำเลยย่อมไม่มีสิทธิยึดถือโฉนดที่ดินไว้ต้องคืนให้โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นบุตรของนายสันต์ ศรีทองผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 9884 นายสันต์ได้ถึงแก่กรรมลง นางรัตนาภรณ์ แสงสุวรรณ พี่สาวโจทก์ทั้งสองได้ทำสัญญาจะขายที่ดินพร้อมกับมอบโฉนดที่ดินให้จำเลยโดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ทั้งสองและทายาทอื่น สัญญาจะขายที่ดินจึงไม่มีผลตามกฎหมายและจำเลยไม่มีสิทธิจะยึดโฉนดที่ดินไว้โจทก์ทั้งสองได้แจ้งให้จำเลยคืนโฉนดที่ดินแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมคืน ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายไม่อาจแบ่งที่ดินระหว่างทายาทด้วยกัน เพื่อทำประโยชน์ต่อไปได้ ขอให้บังคับจำเลยคืนโฉนดที่ดินเลขที่ 9884 ตำบลปากแพรก อำเภอเมืองกาญจนบุรีจังหวัดกาญจนบุรี แก่โจทก์ทั้งสองและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวคืน
จำเลยให้การว่า หลังจากที่นายสันต์ ศรีทอง ถึงแก่กรรมแล้วนายพินิจ ตันโชติเวช ได้ฟ้องโจทก์ที่ 1 ในฐานะทายาทโดยธรรมของนายสันต์บังคับจำนองที่ดินตามฟ้อง ต่อมาโจทก์ทั้งสองและทายาทอื่นของนายสันต์ทุกคนได้ติดต่อขายที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลย และทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกันในวันเดียวกันนั้น โดยโจทก์ทั้งสองและทายาทอื่นทุกคนยินยอมให้นางรัตนาภรณ์ แสงสุวรรณซึ่งเป็นพี่สาวโจทก์ทั้งสอง และเป็นผู้จัดการมรดกของนายสันต์ตามคำสั่งศาลทำสัญญาแทน ในการทำสัญญานางรัตนาภรณ์ได้ร่วมกับโจทก์ทั้งสองและทายาทอื่นทุกคนรับเงินมัดจำจากจำเลยไปไถ่ถอนจำนองที่ดินจากนายพินิจ และโจทก์ทั้งสองกับทายาทอื่นทุกคนได้มอบโฉนดที่ดินให้จำเลยครอบครอง จำเลยจึงมีสิทธิยึดโฉนดที่ดินเพื่อบังคับโอนตามสัญญา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่านายสันต์ ศรีทอง มีบุตร 7 คน รวมทั้งโจทก์ทั้งสองกับนางรัตนาภรณ์ แสงสุวรรณ นายสันต์มีกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดพิพาทเลขที่ 9884 ตำบลปากแพรก อำเภอเมืองกาญจนบุรีจังหวัดกาญจนบุรี เนื้อที่ 6 ไร่เศษ ตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.2 เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2530 นายสันต์ถึงแก่กรรม วันที่ 12 พฤษภาคม 2531 นางรัตนาภรณ์ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแปลงดังกล่าวอันเป็นมรดกของนายสันต์ให้แก่จำเลย ตามเอกสารหมาย จ.3 และมอบโฉนดพิพาทให้แก่จำเลยยึดถือไว้ ต่อมาวันที่ 21 กรกฎาคม 2531 ศาลมีคำสั่งตั้งนางรัตนาภรณ์เป็นผู้จัดการมรดกของนายสันต์ ปรากฏตามสำเนาคำสั่งหมายเลขแดงที่ 520/2531 ของศาลชั้นต้น เอกสารหมาย จ.4มีประเด็นวินิจฉัยตามฎีกาข้อแรกว่า จำเลยต้องคืนโฉนดพิพาทให้โจทก์ทั้งสองหรือไม่ โจทก์ทั้งสองนำสืบว่านางรัตนาภรณ์ไม่ได้เป็นผู้จัดการมรดกของนายสันต์ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินมรดกให้แก่จำเลย ตามเอกสารหมาย จ.3 และมอบโฉนดพิพาทให้ยึดถือไว้ โดยโจทก์ทั้งสองและทายาทคนอื่นของนายสันต์ไม่รู้เห็นยินยอม จำเลยนำสืบว่า จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับนางรัตนาภรณ์ราคา 430,000 บาท วางมัดจำ 110,000 บาทโดยนำเงินไปไถ่ถอนจำนองแล้วนางรัตนาภรณ์มอบโฉนดพิพาทให้จำเลยยึดถือไว้โดยพี่น้องนางรัตนาภรณ์รู้เห็นยินยอม3-4 คน และแสดงหนังสือยินยอมของทายาทให้นางรัตนาภรณ์เป็นผู้ยื่นคำร้องขอต่อศาลเป็นผู้จัดการมรดกของนายสันต์ เห็นว่าเมื่อนายสันต์ถึงแก่กรรมที่ดินของนายสันต์จึงเป็นทรัพย์มรดกตกทอดแก่บุตรซึ่งเป็นทายาทของนายสันต์ทุกคน โจทก์ทั้งสองกับนางรัตนาภรณ์กับทายาทคนอื่นรวม 7 คน จึงเป็นเจ้าของรวมในที่ดินทรัพย์มรดก ด้วยเหตุนี้เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่ามรดกของนายสันต์ยังมิได้แบ่งแยกระหว่างทายาท นางรัตนาภรณ์ทายาทคนหนึ่งจะนำที่ดินทรัพย์มรดกไปทำสัญญาจะซื้อจะขายให้จำเลยทั้งแปลง โดยทายาทคนอื่นซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมมิได้ยินยอมด้วยก็ถือว่าทำไปโดยไม่มีสิทธิคงผูกพันเฉพาะนางรัตนาภรณ์เท่านั้น จำเลยอ้างว่าทายาท 3-4 คนรวมทั้งโจทก์ที่ 1 และนางรัตนาภรณ์รู้เห็นยินยอมก็ไม่ปรากฏว่าได้ลงลายมือไว้ในสัญญาในฐานะผู้จะขายหรือฐานะพยานโจทก์ทั้งสองและทายาทคนอื่นก็มาเบิกความยืนยันว่าไม่เคยรู้เห็นยินยอมในการทำสัญญาจะซื้อจะขาย ดังนั้น สัญญาจะซื้อจะขายเอกสารหมาย จ.3จึงไม่ผูกพันโจทก์ทั้งสองและทายาทคนอื่น มีปัญหาต่อไปว่าจำเลยมีสิทธิยึดถือโฉนดพิพาทไว้หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าแม้สัญญาจะซื้อจะขายจะมีผลผูกพันนางรัตนาภรณ์ จำเลยก็มีสิทธิเพียงเรียกร้องบังคับเหนือนางรัตนาภรณ์ในฐานะคู่สัญญาได้เท่านั้นเมื่อโจทก์ทั้งสองซึ่งมิได้รู้เห็นยินยอมในการทำสัญญาจะซื้อจะขายหรือมอบโฉนดพิพาทให้จำเลยยึดถือไว้ ขอให้จำเลยส่งโฉนดเพื่อที่โจทก์ทั้งสองจะนำไปแบ่งแยกเป็นชื่อของโจทก์ทั้งสองและทายาทคนอื่นในฐานะผู้มีสิทธิรับมรดก จึงเป็นสิทธิอันชอบของโจทก์ทั้งสอง จำเลยย่อมไม่มีสิทธิยึดถือโฉนดพิพาทไว้ต้องคืนให้โจทก์ทั้งสอง”
พิพากษากลับ ให้จำเลยคืนโฉนดที่ดินเลขที่ 9884ตำบลปากแพรก อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรีให้โจทก์ทั้งสอง คำขออื่นให้ยก

Share