คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2937/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

สัญญาค้ำประกันระบุไว้เพียงว่าหาก ต. ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ก็ดี ถึงแก่กรรมก็ดี ไปจากถิ่นฐานที่อยู่ หรือหาตัวไม่พบก็ดี หรือมีกรณีอื่นใด อันเป็นเหตุให้โจทก์ไม่ได้รับชดใช้เงินแล้วจำเลยจะเป็น ผู้รับผิดชอบชดใช้แทนให้จนครบจำนวนโดยไม่ได้มีข้อความ ระบุว่าผู้ค้ำประกันยอมสละสิทธิที่จะไม่ยกอายุความขึ้นต่อสู้ ข้อตกลงที่ว่าหาก ต. ถึงแก่กรรมจำเลยจะชำระหนี้แทนไม่ใช่ข้อยกเว้นที่จำเลยยอมสละสิทธิที่จะไม่ยกอายุความขึ้นต่อสู้ เมื่อ ต. ถึงแก่ความตาย จำเลยผู้ค้ำประกันจึงยกอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 วรรคสาม ขึ้นต่อสู้โจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 140 เดิมนายตระกูล ศรีสร้างคอม บิดาจำเลยเป็นสมาชิกและดำเนินการเป็นผู้จัดการกลุ่มของโจทก์ และได้ทำเงินขาดบัญชีไป 66,250.75 บาท จึงได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์ไว้ว่าจะชำระเงิน 66,250.75 บาท ให้โจทก์แบ่งชำระ165งวด โดยมีจำเลยเป็นผู้ค้ำประกันเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2529หลังจากทำหนังสือรับสภาพหนี้และสัญญาค้ำประกันแล้วนายตระกูลชำระหนี้ให้โจทก์จนถึงเดือนสิงหาคม 2529ต่อมาปลายปี 2529 โจทก์ทราบว่านายตระกูลถึงแก่กรรมจำเลยยังนำเงินมาผ่อนชำระให้โจทก์จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2531รวมเป็นเงิน 5,200 บาท หลังจากนั้นไม่ชำระให้โจทก์อีกรวมต้นเงินและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องจำเลยค้างชำระจำนวน75,956 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 75,956 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน61,050 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า นายตระกูล ศรีสร้างคอม ถึงแก่กรรมตั้งแต่ปี 2529 ซึ่งโจทก์ทราบดี โจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิเรียกร้องหรือแจ้งให้ทายาทของนายตระกูลชำระหนี้โจทก์จนล่วงพ้นกำหนดเวลา 1 ปี นับแต่โจทก์ได้รู้ว่านายตระกูล ถึงแก่กรรม คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ สิทธิเรียกร้องของโจทก์ต่อจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ผู้ค้ำประกันจึงเป็นอันขาดอายุความด้วยขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 75,956 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 61,050 บาทนับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จสิ้น จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในข้อกฎหมายตามฎีกาโจทก์ประการแรกว่า แม้หนี้จะขาดอายุความ แต่จำเลยก็ไม่หลุดพ้นจากความรับผิดเพราะโจทก์จำเลยได้ทำข้อตกลงไว้ล่วงหน้าแล้วจริงหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่านายตระกูล ศรีสร้างคอม บิดาจำเลยได้บริหารกิจการทำให้เงินของโจทก์ขาดบัญชีไปจำนวน 66,250.75 บาท จึงได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2529 โดยผ่อนชำระงวดละ 400 บาท รวม 165 งวด โดยมีจำเลยเป็นผู้ค้ำประกันตามหนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมาย จ.2 และหนังสือสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.3 นายตระกูลและจำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้วรวม 13 งวดเป็นเงิน 5,200 บาทแล้วไม่ชำระคงค้างจำนวน 61,050 บาท วันที่ 20 สิงหาคม 2530นายตระกูลได้ถึงแก่ความตายซึ่งโจทก์ก็ทราบตั้งแต่วันดังกล่าวและโจทก์นำคดีมาฟ้องวันที่ 2 สิงหาคม 2534 เห็นว่า โจทก์ไม่ได้ฟ้องทายาทของนายตระกูลลูกหนี้ภายใน 1 ปีนับแต่ทราบถึงความตายของนายตระกูลเป็นเหตุให้หนี้รายนี้ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1755 วรรคสาม ซึ่งบัญญัติเป็นใจความว่าถ้าสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้อันมีต่อเจ้ามรดกมีอายุความยาวกว่าหนึ่งปี มิให้เจ้าหนี้นั้นฟ้องร้องเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เจ้าหนี้ได้รู้ หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดกการที่โจทก์มาฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกัน เมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีเช่นนี้จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันอาจยกข้อต่อสู้ทั้งหลายซึ่งลูกหนี้มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ได้ด้วยดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 694 ตามหนังสือสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.3 ระบุไว้เพียงว่าหากนายตระกูลไม่ชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ก็ดี ถึงแก่กรรมก็ดี ไปจากถิ่นฐานที่อยู่หรือหาตัวไม่พบก็ดี หรือมีกรณีอื่นใดอันเป็นเหตุให้โจทก์ไม่ได้รับชดใช้เงินแล้ว จำเลยจะเป็นผู้รับผิดชดใช้แทนให้จนครบจำนวนเท่านั้นโดยไม่ได้มีข้อความระบุว่าผู้ค้ำประกันยอมสละสิทธิที่จะไม่ยกอายุความขึ้นต่อสู้แต่ประการใด ข้อตกลงที่ว่าหากนายตระกูลถึงแก่กรรมจำเลยก็จะชำระหนี้แทน ซึ่งโจทก์ถือว่าเป็นข้อตกลงล่วงหน้านั้นไม่ใช่ข้อยกเว้นที่จำเลยยอมสละสิทธิที่จะไม่ยกอายุความขึ้นต่อสู้ดังที่โจทก์เข้าใจ จำเลยจึงยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ เมื่อคดีโจทก์ขาดอายุความแล้วจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์”
พิพากษายืน

Share