คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1503/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ตามสัญญาว่าจ้างก่อสร้างบ้านระบุว่าโจทก์เป็นคู่สัญญากับจำเลย การที่จำเลยยินยอมเข้าทำสัญญาและปฏิบัติตามสัญญาบางส่วนแล้ว ถือได้ว่าจำเลยยอมรับว่าโจทก์เป็นคู่สัญญาโดยโจทก์มอบอำนาจให้ จ. ทำสัญญากับจำเลยแทนโจทก์จำเลยจะกลับยกเอาความไม่สมบูรณ์ของหนังสือมอบอำนาจมาต่อสู้เพื่อให้พ้นความรับผิดตามสัญญาหาไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างบ้านในโครงการหมู่บ้านพิบูลย์ ซอยจรัลสนิทวงศ์ 35ราคา 1,260,000 บาท หลังจากโจทก์สร้างบ้านให้แล้วเสร็จ จำเลยได้เข้าอยู่อาศัย จำเลยยังคงค้างค่าจ้างก่อสร้างบ้านแก่โจทก์อีก216,000 บาท แต่จำเลยไม่ชำระ จึงขอให้บังคับจำเลยชำระค่าจ้างดังกล่าวพร้อมค่าเสียหายเป็นดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีเป็นต้นเงิน 216,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2533จนถึงวันฟ้อง คิดเป็นดอกเบี้ย 12,150 บาท รวมเป็นต้นเงินและดอกเบี้ยที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์จำนวน 228,150 บาท
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยว่าจ้างให้โจทก์เป็นผู้ก่อสร้างบ้านตามฟ้อง กรรมการของโจทก์ผู้มีอำนาจมิได้ลงรายมือชื่อเป็นคู่สัญญาในช่องผู้รับจ้าง สัญญาดังกล่าวจึงไม่ผูกพันจำเลยขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 228,150 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 216,000 บาท ตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยชำระเสร็จ จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยฎีกาข้อแรกว่า จำเลยมิได้ทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ ตามเอกสารหมาย จ.6 โจทก์นำสืบโดยมีนางสาวกรภัทร์ สุวิวัฒน์ธนชัย และนางสาวจำเนียร วิธีจงเจริญเบิกความเป็นพยานว่าจำเลยได้ทำสัญญากับโจทก์เมื่อปี 2536 ว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างบ้านปรากฏตามเอกสาร จ.6 จำเลยให้การรับว่าได้ตกลงซื้อบ้านแบบพิกุล พร้อมที่ดิน ตามโครงการหมู่บ้านพิบูลย์ ซอยจรัลสนิทวงศ์ 35 ซึ่งเจือสมกับข้อความในเอกสารหมาย จ.6 อีกประการหนึ่งศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเมื่อพิเคราะห์ถึงรูปลักษณะการเขียนในช่องผู้ว่าจ้างในเอกสารหมาย จ.6 เปรียบเทียบลายมือชื่อในช่องใบแต่งทนายความที่จำเลยแต่งทนายเข้ามาต่อสู้คดี เห็นได้ว่า มีลักษณะการเขียนและลายมือที่คล้ายคลึงกันจึงน่าเชื่อว่า จำเลยได้ลงลายมือชื่อในช่องผู้ว่าจ้างจริง จำเลยมิได้อุทธรณ์ หรือฎีกาโต้ตอบคำวินิจฉัยดังกล่าวแต่กลับอุทธรณ์และฎีการับว่าจำเลยเคยลงชื่อในสัญญาเปล่าให้บริษัทชินภัทรเคหะและก่อสร้าง จำกัด ซึ่งก็สอดคล้องกับพยานโจทก์เช่นเดียวกัน พยานโจทก์จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้ว่าจ้างโจทก์ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.6 จำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญาดังกล่าว ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น … จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่าใบมอบอำนาจให้นางสาวจำเนียร ลงนามแทนโจทก์ เอกสารหมาย จ.7 ไม่สมบูรณ์เพราะกรรมการโจทก์ลงชื่อเพียงคนเดียว โจทก์จึงไม่เป็นคู่สัญญาไม่มีอำนาจฟ้อง เห็นว่า ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.6 ระบุชัดแจ้งว่าโจทก์เป็นคู่สัญญากับจำเลย การที่จำเลยยินยอมเข้าทำสัญญาและปฏิบัติตามสัญญาบางส่วนแล้ว ถือได้ว่าจำเลยยอมรับว่าโจทก์เป็นคู่สัญญาโดยโจทก์มอบอำนาจให้นางสาวจำเนียร ทำสัญญากับจำเลยแทนโจทก์ จำเลยจะกลับยกเอาความไม่สมบูรณ์ของหนังสือมอบอำนาจมาต่อสู้ เพื่อให้พ้นความผิดตามสัญญาไม่ได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาได้”
พิพากษายืน

Share