คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3099/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินพิพาท เนื้อที่ 15 ไร่เศษ โดยโจทก์มีส่วนเป็นเจ้าของอยู่ 8 ไร่นอกนั้นเป็นของจำเลย โจทก์ขอแบ่งแยกที่ดินพิพาท จำเลยเพิกเฉยจึงขอบังคับจำเลยให้แบ่งที่ดินพิพาทตามส่วนแก่โจทก์ จำเลยให้การว่าเดิมโจทก์จำเลยมีหนี้สินกันอยู่ ต่อมาปี 2529 จำเลยตกลงโอนที่ดินพิพาทบางส่วนเพื่อประกันการชำระหนี้โดยมีภาระผูกพันว่าหากจำเลยหาเงินที่เป็นหนี้พร้อมดอกเบี้ยชำระคืนโจทก์ โจทก์ยอมโอนที่ดินพิพาทคืนแก่จำเลย จำเลยขอชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์โจทก์กลับปฏิเสธ โจทก์ไม่สุจริต ไม่มีอำนาจฟ้อง ดังนี้ คำให้การจำเลยปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ว่า โจทก์ไม่มีสิทธิขอแบ่งแยกที่ดินพิพาท เพราะมีข้อตกลงโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ แต่มีภาระผูกพันว่าหากจำเลยชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ โจทก์จะโอนที่ดินพิพาทคืนแก่จำเลย และจำเลยได้ขอชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยต่อโจทก์แล้วแต่โจทก์ไม่ยอม จึงเป็นคำให้การที่ปฏิเสธโดยชัดแจ้ง รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น เป็นคำให้การที่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสองส่วนจำเลยเป็นหนี้โจทก์ค่าอะไร จำนวนเท่าใดดอกเบี้ยอัตราเท่าใดและมีข้อตกลงเรื่องหนี้สินกันจริงดังจำเลยอ้างเป็นเหตุปฏิเสธต่อโจทก์จริงหรือไม่ เป็นเรื่องรายละเอียดที่จำเลยมีสิทธินำสืบในชั้นพิจารณาได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขที่ 9440 เนื้อที่ 15 ไร่ 2 งาน 80 ตารางวา โดยเป็นของโจทก์ 8 ไร่ ส่วนที่เหลือเป็นของจำเลย ยังมิได้แบ่งการครอบครองเป็นส่วนสัด ต่อมาโจทก์ประสงค์จะแบ่งแยกที่ดินแปลงดังกล่าวเฉพาะส่วนของโจทก์เป็นอีกโฉนดหนึ่ง โจทก์บอกกล่าวจำเลยแล้วจำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยแบ่งแยกที่ดินโฉนดดังกล่าวแก่โจทก์จำนวน8 ไร่หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวให้โจทก์
จำเลยให้การว่า เดิมโจทก์และจำเลยมีภาระหนี้ต่อกัน เมื่อปี2529 จำเลยตกลงโอนที่พิพาทบางส่วนให้โจทก์เพื่อประกันการชำระหนี้โดยมีภาระผูกพันว่า หากจำเลยสามารถชำระหนี้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยแล้วโจทก์จะยอมโอนที่ดินแปลงดังกล่าวคืนจำเลย ปัจจุบันที่ดินแปลงดังกล่าวมีราคาสูง จำเลยได้บอกกล่าวโจทก์เพื่อขอชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์และขอที่ดินคืนตามข้อตกลง แต่โจทก์ปฏิเสธการกระทำของโจทก์ไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วจึงมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์และจำเลย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คำให้การจำเลยไม่มีรายละเอียดเป็นคำกล่าวอ้างกว้าง ๆ ลอย ๆ ไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง จึงไม่มีประเด็น เมื่อจำเลยให้การไม่รับหรือปฏิเสธรวมทั้งเหตุแห่งการนั้นถือว่าจำเลยรับตามโจทก์ฟ้องพิพากษาให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 9440 ตำบลโคกคราม อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรีจำนวน 8 ไร่ ให้โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยจำเลยอุทธรณ์คำสั่งและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำให้การจำเลยได้ปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์โดยแจ้งชัดแล้ว ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสอง คดีจึงมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิขอแบ่งที่ดินพิพาทหรือไม่ ฉะนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานจึงไม่ชอบ พิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์และจำเลย แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในชั้นนี้ว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาคดีไปนั้นเป็นการชอบหรือไม่ พิเคราะห์แล้วโจทก์กล่าวในคำฟ้องว่าโจทก์จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมกันในที่พิพาทโฉนดเลขที่ 9440 ตำบลโคกคราม อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรีเนื้อที่ 15 ไร่เศษโดยโจทก์มีส่วนเป็นเจ้าของอยู่ 8 ไร่ นอกจากนั้นเป็นของจำเลยโจทก์ขอแบ่งแยกที่ดินพิพาท จำเลยเพิกเฉย จึงขอบังคับจำเลยให้แบ่งที่ดินพิพาทตามส่วนแก่โจทก์ จำเลยให้การใจความสำคัญว่า เดิมโจทก์จำเลยมีหนี้สินกันอยู่ ต่อมาปี 2529 จำเลยตกลงโอนที่ดินพิพาทบางส่วนเพื่อประกันการชำระหนี้โดยมีภาระผูกพันว่าหากจำเลยหาเงินที่เป็นหนี้พร้อมดอกเบี้ยชำระคืนโจทก์ โจทก์ยอมโอนที่ดินพิพาทคืนแก่จำเลย จำเลยขอชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์โจทก์กลับปฏิเสธโจทก์ไม่สุจริต ไม่มีอำนาจฟ้อง ดังนี้ เห็นว่าคำให้การจำเลยปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ว่า โจทก์ไม่มีสิทธิขอแบ่งแยกที่ดินพิพาท เพราะมีข้อตกลงโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ แต่มีภาระผูกพันว่า หากจำเลยชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ โจทก์จะโอนที่พิพาทคืนแก่จำเลย และจำเลยได้ขอชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยต่อโจทก์แล้วแต่โจทก์ไม่ยอม จึงเป็นคำให้การที่ปฏิเสธโดยชัดแจ้งรวมทั้งเหตุแห่งการนั้น เป็นคำให้การที่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองส่วนจำเลยเป็นหนี้โจทก์ค่าอะไร จำนวนเท่าใดดอกเบี้ยอัตราเท่าใดและมีข้อตกลงเรื่องหนี้สินกันจริงดังจำเลยอ้างเป็นเหตุปฏิเสธต่อโจทก์จริงหรือไม่ เป็นเรื่องรายละเอียดที่จำเลยมีสิทธินำสืบในชั้นพิจารณาได้ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์คำพิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาของศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีนั้นชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share