คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2809/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หนังสือรับรองซึ่งออกโดยนายทะเบียนสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร กรมทะเบียนการค้ากระทรวงพาณิชย์ เป็นเอกสารมหาชนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้อง เป็นหน้าที่ของคู่ความฝ่ายที่ถูกอ้างเอกสารนั้นมายันต้องนำสืบความไม่บริสุทธิ์หรือความไม่ถูกต้องแห่งเอกสาร เมื่อไม่สืบพยานหักล้าง แม้ทางราชการจะออกหนังสือรับรองดังกล่าวให้ช้านานเพียงใดก็ต้องถือว่าเอกสารนั้นมีข้อความที่ถูกต้องสมบูรณ์ การซื้อขายสังหาริมทรัพย์ผู้ขายได้ส่งมอบสินค้าอันเป็นการชำระหนี้ฝ่ายผู้ขายแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 456 วรรคสองและวรรคสาม ผู้ขายย่อมฟ้องร้องบังคับคดีได้โดยกฎหมายไม่บังคับให้ต้องทำหลักฐานเป็นหนังสือ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ประกอบกิจการค้าร่วมกัน โดยแบ่งหน้าที่กันทำ การที่จำเลยที่ 2 ผู้เดียวเป็นผู้สั่งซื้อสินค้าไปจากโจทก์ และเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ค่าสินค้าให้โจทก์เช่นนี้ถือว่าเป็นการกระทำของจำเลยที่ 1 ด้วย จำเลยที่ 1ต้องร่วมกับจำเลยที่ 2 รับผิดในหนี้ค่าสินค้าต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ และได้ชำระค่าสินค้าให้โจทก์ด้วยเช็ค 8 ฉบับ แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินทุกฉบับ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 1ไม่เคยร่วมประกอบกิจการค้ากับจำเลยที่ 2 และไม่เคยสั่งซื้อหรือรับสินค้าไปจากโจทก์ ทั้งไม่เคยชำระราคาสินค้าด้วยเช็คให้โจทก์ด้วย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน386,463 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ประการแรกมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ จำเลยที่ 1อ้างเหตุว่าโจทก์อ้างหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.22 แม้จะเป็นเอกสารราชการแต่ออกมานานเป็นเวลา 3 ปีเศษ แล้ว จึงไม่ถูกต้องและสมบูรณ์ตามกฎหมายรับฟังไม่ได้ เห็นว่า หนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.22 ออกโดยนายทะเบียนสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ เป็นเอกสารมหาชน ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้องเป็นหน้าที่ของคู่ความฝ่ายที่ถูกอ้างเอกสารนั้นมายัง ต้องนำสืบความไม่บริสุทธิ์หรือความไม่ถูกต้องแห่งเอกสาร เมื่อโจทก์อ้างหนังสือรับรองยันจำเลยเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องนำสืบหักล้างหนังสือรับรองเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่สืบพยานหักล้างต้องถือว่าหนังสือรับรองดังกล่าวมีข้อความถูกต้องสมบูรณ์ แม้ทางราชการจะออกหนังสือรับรองให้ช้านานเพียงใดก็ตาม ทั้งโจทก์มีพยานบุคคลมาเบิกความประกอบหนังสือรับรอง จึงฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด โดยมีนายสุมิตรหรือนายสมบัติมีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ได้เมื่อนายสมบัติได้มอบอำนาจให้นายทวีชัยดำเนินคดีแทนโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ปัญหาประการที่สองมีว่า จำเลยที่ 1 ได้ร่วมประกอบกิจการค้ากับจำเลยที่ 2 ได้สั่งสินค้าไปจากโจทก์และต้องร่วมกันรับผิดชำระค่าสินค้าให้โจทก์หรือไม่ เห็นว่า การซื้อขายสินค้าคดีนี้เป็นการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ ซึ่งโจทก์ได้ส่งมอบสินค้าเป็นการชำระหนี้ฝ่ายโจทก์ผู้ขายแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 456 วรรคสอง และวรรคสาม ในกรณีเช่นนี้กฎหมายไม่ได้บังคับให้ต้องทำหลักฐานเป็นหนังสือจึงจะฟ้องร้องบังคับคดีได้ ดังนั้นแม้ไม่มีเอกสารใบรับเงินและใบส่งของ ศาลสามารถรับฟังพยานบุคคลได้ การที่จำเลยที่ 2 สั่งจ่ายเช็คแสดงว่าได้รับสินค้าจากโจทก์แล้วจึงสั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ จำเลยที่ 1 อ้างเหตุอีกว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้สั่งซื้อสินค้าและไม่ได้สั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ให้โจทก์ จำเลยที่ 1 จึงไม่ได้ทำการค้าร่วมกับจำเลยที่ 2 เห็นว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของร้านฉิ่นฟกชุนซัน และเป็นมารดาของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 เป็นผู้สั่งซื้อสินค้าไปจากโจทก์และเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ให้โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงประกอบกิจการค้าร่วมกันแต่แบ่งหน้าที่กันทำ ดังนั้นแม้จำเลยที่ 1จะไม่ได้เป็นผู้สั่งซื้อสินค้าและไม่ได้สั่งจ่ายเช็ค การที่จำเลยที่ 2 เป็นผู้สั่งซื้อสินค้าและสั่งจ่ายเช็คถือว่าเป็นการกระทำของจำเลยที่ 1 ด้วย จำเลยที่ 1 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ชำระหนี้ให้โจทก์
พิพากษายืน

Share