แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คนบังคับเดนมาร์คแต่งงานกับหญิงไทย ตามกฎหมายไทยย่อมเป็นสามีภริยากันโดยถูกต้อง. มรดกซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ต้องเป็นไปตามภูมิลำเนาของเจ้ามรดก. ผู้จัดการมรดกมีฐานะเป็นตัวแทนทายาททุกคน จึงยกอายุความเสียสิทธิมาใช้ยันแก่ทายาทมิได้. ทายาทเข้าครอบครองมรดกภายใน 1 ปีแต่วันเจ้ามรดกตายและสงวนไว้เป็นของกลางร่วมกันโดยยังไม่ได้แบ่งปันกัน ย่อมฟ้องขอแบ่งเมื่อพ้นกำหนด 1 ปีได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่านายทีโอดอร์ อามันดัสเกิ๊ตเจสามีโจทก์วายชนม์เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๔๗๘ มีทรัพย์ซึ่งเป็นสมรสอยู่รวม ๗๔๐๐ บาท ๘๘ สตางค์ ขอให้จำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกแบ่งให้โจทก์ในภาคภริยาและบุตร จำเลยให้การว่าผู้ตายเป็นชาติเดนมาร์ค โจทก์มิได้เป็นภริยาโดยชอบเพราะไม่มีการแต่งงานที่ถูกต้องตามกฎหมายเดนมาร์ค จึงไม่มีสิทธิรับมรดก ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์และบุตรได้รับส่วนแบ่งมรดกตามส่วน.
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์กับผู้วายชนม์เป็นสามีภริยากันโดยถูกต้องตามกฎหมาย เพราะได้แต่งงานกันในประเทศไทยและตามกฎหมายไทย มรดกรายนี้เป็นสังหาริมทรัพย์จึงต้องเป็นไปตามกฎหมายภูมิลำเนาของเจ้ามรดก ผู้วายขนม์อยู่ในประเทศไทยตลอดมา แต่ได้ไปประเทศเดนมาร์คเพื่อรักษาโรคความดันแห่งโลหิตและถึงแก่กรรมที่ประเทศเดนมาร์ค แต่มีบุตรและภริยากับทรัพย์สมบัติเป็นอันมากอยู่ในประเทศทั้งได้เตรียมหีบบรรจุศพและอุโมงค์ฝังศพไว้ในประเทศไทย แสดงให้เห็นเจตนาว่าต้องการยึดถือเอาประเทศไทยเป็นถิ่นที่อยู่แหล่งสำคัญต้องถือว่ามีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย ส่วนเรื่องอายุความนั้นปรากฏว่าเจ้ามรดกตายวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๔๗๘ ทายาทเข้าปกครองมรดกร่วมกันไว้เป็นส่วนกลางภายใน ๑ ปีตลอดมาโดยมิได้แบ่งกัน จำเลยเข้าจัดการมรดวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๔๘๑ โจทย์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๔๘๒ ระหว่างที่ยังมิได้แบ่งกันนี้สิทธิของโจทก์ยังไม่ถูกทำลาย จึงฟ้องเรียกเมื่อพ้นกำหนด ๑ ปีได้ และในฐานะที่จำเลยเข้าจัดการมรดกจะนับว่าเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของผู้จัดการไม่ได้ ต้องเป็นเพียงตัวแทนของทายาทเท่านั้น จึงยกอายุความมาใช้ยันแก่ทายาทไม่ได้ จึงพิพากษายืน