แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาทของโจทก์เป็นเนื้อที่ 37.14 ตารางวา ตามแผนที่หมายเลข 39เอกสารท้ายฟ้องโดยไม่ได้รับความยินยอม โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนออกไปแล้วแต่ก็เพิกเฉยเป็นการอยู่โดยละเมิดขอให้จำเลยรื้อถอนออกไปแม้โจทก์จะมิได้กล่าวในฟ้องว่าจำเลยเข้าอยู่ในที่ดินพิพาทโดยละเมิดตั้งแต่เมื่อใดก็เข้าใจได้ว่าเป็นการอยู่โดยละเมิดตั้งแต่ก่อนฟ้องแล้วส่วนจำเลยจะครอบครองที่ดินพิพาทโดยละเมิดมีความกว้างยาวเท่าใดนั้นเป็นรายละเอียดที่คู่ความจะต้องนำสืบ คำฟ้องได้กล่าวโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้วจึงไม่เคลือบคลุม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 426ตำบลตูมใต้ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี เนื้อที่ 12 ไร่2 งาน 96 ตารางวา โดยจดทะเบียนรับโอนเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2522จำเลยปลูกบ้านในที่ดินของโจทก์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์เป็นเนื้อที่ 37.14 ตารางวา โจทก์แจ้งให้จำเลยรื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินออกไปหรือทำสัญญากับโจทก์ จำเลยไม่ปฏิบัติตามโจทก์จึงแจ้งให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกไปจากที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านและและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์กับห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมไม่บรรยายให้แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา คือไม่บรรยายว่าจำเลยเข้าอยู่ในที่พิพาทตั้งแต่เมื่อใด ครอบครองเนื้อที่กว้างยาวเท่าใด แผนที่พิพาทเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 ไม่ชัดเจนแน่นอน จำเลยไม่สามารถให้การโดยละเอียด ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์ไม่ได้ฟ้องคดีเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนภายใน 1 ปี นับแต่วันถูกรบกวน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกไปให้พ้นเขตที่ดินของโจทก์และห้ามจำเลยเกี่ยวข้องอีกต่อไปให้จำเลยและบริวารของจำเลยทั้งหมดออกไปให้พ้นจากที่ดินโจทก์จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยเพียงข้อเดียวมีว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้ปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาทของโจทก์เป็นเนื้อที่ 37.14 ตารางวา ตามแผนที่หมายเลข 39เอกสารท้ายฟ้องโดยไม่ได้รับความยินยอม โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนออกไปแล้วแต่ก็เพิกเฉยเป็นการอยู่โดยละเมิด ขอให้จำเลยรื้อถอนออกไป แม้โจทก์จะมิได้กล่าวในฟ้องว่าจำเลยเข้าอยู่ในที่ดินพิพาทโดยละเมิดตั้งแต่เมื่อใด ก็เข้าใจได้ว่าเป็นการอยู่โดยละเมิดตั้งแต่ก่อนฟ้องแล้ว ส่วนจำเลยจะครอบครองที่ดินพิพาทโดยละเมิดมีความกว้างยาวเท่าใดนั้นเป็นรายละเอียดที่คู่ความจะต้องนำสืบ คำฟ้องได้กล่าวโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้วจึงไม่เคลือบคลุม”
พิพากษายืน