คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4969/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ตายบอกแก่ภรรยาว่าถูกจำเลยใช้มีดพร้าตีที่ศีรษะ ขณะนั้นยังมีสติและพูดคุยกับภรรยาได้ประมาณ 2-3 นาที ผู้ตายจึงบอกให้ภรรยานำผู้ตายส่งโรงพยาบาล เนื่องจากผู้ตายคงรู้อาการของตัวเองว่าหนักมากต้องการที่จะไปพบแพทย์เพื่อให้ช่วยเหลือ แสดงว่าผู้ตายคงรู้ตัวว่าอาการของตนน่าจะถึงแก่ความตายได้ ถ้อยคำของผู้ตายที่บอกแก่ภรรยาจึงรับฟังได้ จำเลยใช้มีดพร้าตีศีรษะผู้ตายเพียงครั้งเดียวโดยแรง เนื่องจากโกรธที่ผู้ตายหาบหญ้ามาโดนศีรษะเมื่อปรากฏว่าจำเลยใช้สันมีดพร้าตีแสดงว่าจำเลยมีเจตนาเพียงทำร้ายร่างกายผู้ตายเท่านั้น แต่เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา290 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 33ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคหนึ่ง ลงโทษจำคุก 6 ปี จำเลยเข้ามอบตัวต่อเจ้าพนักงาน และคำให้การของจำเลยชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 4 ปี ริบของกลาง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยเป็นคนร้ายใช้มีดพร้าตีผู้ตายอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290วรรคหนึ่ง หรือไม่ โจทก์มีนางเลื่อน บินสกุล ภรรยาผู้ตายเป็นพยานเบิกความว่า วันที่ 21 ธันวาคม 2533 เวลาประมาณ 11 นาฬิกาผู้ตายกลับมาบ้านที่ศีรษะมีเลือดเต็มผ้าที่พันไว้ พยานจึงถามว่าไปโดนอะไรมา ผู้ตายบอกว่าขณะที่ตนหาบหญ้าเดินผ่านจำเลยซึ่งกำลังนั่งดักหนูอยู่บนคันนาก็ถูกตีที่ศีรษะจนล้มลง เมื่อหันไปมองก็เห็นจำเลยถือมีดพร้าอยู่ในมือ และผู้ตายพูดคุยกับพยานได้2-3 นาที ก็บอกให้พยานหารถไปส่งโรงพยาบาล พยานจึงไปขอรถจากญาตินำผู้ตายส่งโรงพยาบาลตากใบ เห็นว่าเหตุเกิดเวลากลางวันน่าเชื่อว่าผู้ตายจะต้องเห็นตัวผู้ที่ทำร้ายตนได้ ทั้งได้ความจากคำของนางเลื่อนว่าจำเลยกับผู้ตายก็เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน และการที่จำเลยทำร้ายผู้ตายครั้งนี้ก็ได้ความจากคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยว่า ขณะที่จำเลยทำกับดักหนูในนามีคนหาบหญ้ามาโดนศีรษะ เมื่อหันไปเห็นว่าเป็นผู้ตาย จำเลยจึงใช้มีดพร้าที่ใช้สำหรับตัดหญ้าตีศีรษะผู้ตาย ทั้งนี้ก็คงเนื่องมาจากความไม่ชอบหน้ากันมาก่อนนั่นเอง สำหรับลักษณะการตีได้ความจากนางเลื่อนว่า ผู้ตายถูกตีล้มลง ตามคำให้การของจำเลยก็ว่าตีไป 1 ที ผู้ตายนั่งลง แสดงว่าจำเลยตีโดยแรง เมื่อผู้ตายพูดคุยกับนางเลื่อน 2-3 นาที ผู้ตายก็ให้หารถไปส่งโรงพยาบาลซึ่งก็คงจะเนื่องจากผู้ตายคงรู้อาการของตัวเองว่าหนักมากต้องการที่จะไปพบแพทย์เพื่อให้ช่วยเหลือ นายแพทย์อภิชัย ตีไชยเศรษฐแพทย์โรงพยาบาลตากใบเบิกความเป็นพยานว่า ขณะมาถึงโรงพยาบาลผู้ตายมีอาการหนัก ความดันโลหิตต่ำ ชีพจรเต้นไม่ปกติ หากได้รับการรักษาถูกต้องก็ไม่แน่ว่าจะหายหรือไม่ จึงมีเหตุผลสนับสนุนให้น่าเชื่อว่า ผู้ตายคงรู้ตัวว่าอาการของตนน่าจะถึงแก่ความตายได้ถ้อยคำของผู้ตายที่บอกแก่นางเลื่อนจึงรับฟังได้ นอกจากนี้โจทก์ยังมีร้อยตำรวจโทศักดิ์ดา ทองพิทักษ์ มาเป็นพยานว่านายสุวรรณ บินสกุล ไปแจ้งความเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2533 ว่าจำเลยใช้มีดพร้าตีศีรษะผู้ตาย ต่อมาวันที่ 28 เดือนเดียวกัน จำเลยเข้ามอบตัวพร้อมมอบมีดพร้าที่ใช้ตีให้ไว้เป็นของกลาง และให้การรับสารภาพให้พนักงานสอบสวนบันทึกไว้ตลอดจนพาไปชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพแสดงท่าทางให้ถ่ายภาพไว้ ซึ่งไม่ปรากฏว่าจำเลยถูกข่มขู่แต่ประการใด แสดงให้เห็นว่าจำเลยให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจ ร้อยตำรวจโทศักดิ์ดาเป็นเจ้าพนักงานตำรวจไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุสงสัยว่าจะหาเหตุปรักปรำให้ร้ายจำเลยอันเป็นเรื่องร้ายแรงเช่นนี้ พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีเหตุผลและมีน้ำหนักฟังได้ว่า จำเลยได้ใช้มีดพร้าตีทำร้ายร่างกายผู้ตายจริง การที่จำเลยตีก็เนื่องจากโกรธที่ผู้ตายหาบหญ้ามาโดนศีรษะจำเลย ซึ่งเมื่อได้ความว่าจำเลยใช้สันมีดพร้าตีแสดงว่าจำเลยมีเจตนาเพียงทำร้ายร่างกายผู้ตายเท่านั้น แต่เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคหนึ่ง
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share