คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 90-97/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หลักฐานการเสียภาษีบำรุงท้องที่หาใช่หลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองที่พิพาทไม่ ในชั้นชี้สองสถานเมื่อศาลชั้นต้นมิได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า การที่จำเลยไม่ฟ้องเรียกคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทใน 1 ปีจึงเสียสิทธิการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1375 วรรคสอง และโจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านถือว่าโจทก์สละประเด็นดังกล่าว แม้ปัญหานี้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่ศาลฎีกาไม่เห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246,247 ได้

ย่อยาว

โจทก์ทั้งแปดฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ทั้งแปดได้ครอบครองทำนาเกลือในที่ดินพิพาท ตามส่วนของแต่ละคนซึ่งเป็นมรดกตกทอดมาจากบิดาด้วยความสงบ เปิดเผย และด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว โจทก์ทั้งแปดได้ยื่นคำขอรังวัดออกโฉนดที่ดินดังกล่าวเฉพาะรายต่อเจ้าพนักงานที่ดิน จำเลยทั้งสองได้ยื่นคำคัดค้านอ้างว่า โจทก์ทั้งแปดนำช่างรังวัดรุกล้ำไปในที่ดินของจำเลยทั้งสองตาม น.ส.3 เลขที่ 328, 334/285 และ 285 ต่อมา ผู้ว่าราชการจังหวัดจึงมีคำสั่งเปรียบเทียบว่า จำเลยทั้งสองมีหลักฐานทางทะเบียนที่ดินคือ น.ส.3 จึงมีสิทธิดีกว่าโจทก์ทั้งแปดซึ่งไม่มีหลักฐานทางทะเบียนให้ระงับการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ทั้งแปดและให้ฝ่ายที่ไม่พอใจฟ้องศาลภายใน 60 วัน โจทก์ทั้งแปดเห็นว่าคำเปรียบเทียบของผู้ว่าราชการจังหวัดไม่ถูกต้อง น.ส.3 ซึ่งมีชื่อจำเลยทั้งสองออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หากจะฟังว่าเป็นที่ดินแห่งเดียวกันจำเลยทั้งสองไม่เคยครอบครองทำประโยชน์ โจทก์ทั้งแปดครอบครองทำประโยชน์อยู่ตลอดมา จำเลยทั้งสองมิได้ฟ้องเรียกคืนภายใน 1 ปีขอให้พิพากษาว่าโจทก์ทั้งแปดเป็นผู้มีสิทธิครอบครองแต่ผู้เดียว จำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิครอบครอง ให้จำเลยทั้งสองเพิกถอนคำคัดค้านการออกโฉนดที่พิพาท และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 285,334/285 และ 328 ออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เป็นโมฆะ ให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดปัตตานีออกโฉนดที่ดินสำหรับที่พิพาทให้โจทก์ทั้งแปดหากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การทำนองเดียวกันว่า ที่พิพาทเป็นของนายชลอได้รับจัดสรรจากทางจังหวัดปัตตานี นายชลอครอบครองทำนากุ้งตามโครงการจัดสรรที่ดินของทางราชการเรื่อยมา ต่อมา นายชลอได้ขายที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 ในราคา 78,000 บาทตกลงโอนกรรมสิทธิ์เมื่อได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จำเลยที่ได้เข้าครอบครองทำนากุ้งต่อมานายชลอได้หนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 285 ในที่ดินแปลงแรก และเลขที่ 328 ในที่ดินแปลงหลังแต่นายชลอไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2จึงฟ้องนายชลอต่อศาลชั้นต้น และได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยนายชลอยอมแบ่งที่ดินดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 ครึ่งหนึ่ง แต่เมื่อเดือนกรกฎาคม 2514 นายชลอได้มอบที่พิพาทตีใช้หนี้เงินกู้จำเลยที่ 1เป็นเงิน 60,000 บาท โดยยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนนิติกรรมซื้อขายจำเลยที่ 2 คัดค้านจำเลยที่ 1 ฟ้องนายชลอฐานผิดสัญญา คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาให้นายชลอโอนที่ดินส่วนของตนให้จำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 ได้ครอบครองส่วนของตนตั้งแต่ศาลชั้นต้นพิพากษาเป็นต้นมาโดยทำนากุ้งและนาเกลือจำเลยที่ 1 ได้ทำการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินน.ส.3 เลขที่ 285 ให้แก่จำเลยที่ 2 ครึ่งหนึ่ง โดยจำเลยที่ 1ได้ซีกตะวันตกและมีชื่อเป็นเจ้าของ น.ส.3 ฉบับเดิม ส่วนจำเลยที่ 2ได้ซีกตะวันออกและมีชื่อเป็นเจ้าของ น.ส.3 ฉบับใหม่เลขที่ 334/285จำเลยทั้งสองได้ครอบครองที่พิพาทมาตั้งแต่ พ.ศ. 2515 โดยสงบและเปิดเผยไม่เคยละทิ้ง โจทก์กับพวกใช้สิทธิไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา นายประสงค์ บุตรดี ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมในคดีหมายเลขดำที่ 85 90/2526 ของศาลชั้นต้นศาลมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งแปดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ทั้งแปดฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หลักฐานการเสียภาษีบำรุงท้องที่หาใช่หลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองที่พิพาทไม่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของที่พิพาทและครอบครองทำประโยชน์ตั้งแต่ พ.ศ. 2514-2515 ตลอดมา โจทก์ทั้งแปดเพิ่งเข้าครอบครองทำประโยชน์ภายหลังจากที่จำเลยทั้งสองไปคัดค้านการที่โจทก์ทั้งแปดขอออกโฉนดที่ดินและรอคำวินิจฉัยชี้ขาดของพนักงานเจ้าหน้าที่
ส่วนที่โจทก์ทั้งแปดฎีกาว่า แม้ฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองไม่ได้ฟ้องเรียกคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี จึงเสียสิทธิการครอบครองที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง แล้วนั้น ปัญหานี้แม้โจทก์ทั้งแปด จะได้กล่าวอ้างมาในคำฟ้องด้วย แต่ในชั้นชี้สองสถานเมื่อศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทโจทก์ทั้งแปดมิได้โต้แย้งคัดค้าน ถือว่าโจทก์ทั้งแปดสละประเด็นดังกล่าวแล้วและแม้ปัญหานี้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่ศาลฎีกาไม่เห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246 และ 247
พิพากษายืน

Share