คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4854/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลของเจ้าพนักงานบังคับคดีนั้นเจ้าพนักงานบังคับคดีมิใช่ตัวแทนของลูกหนี้หรือเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาฉะนั้นเงื่อนไขใด ๆ ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนดขึ้นในการขายทอดตลาดจึงผูกพันกันระหว่างผู้เข้าสู้ราคาในการขายทอดตลาดหรือผู้ซื้อทรัพย์กับเจ้าพนักงานบังคับคดีเท่านั้น หาได้โอนมายังลูกหนี้หรือเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไม่ เพราะไม่ใช่สัญญาตัวแทนดังนั้น ลูกหนี้ตามคำพิพากษาจึงไม่มีสิทธิที่จะอ้างเงื่อนไขที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนดขึ้นมาฟ้องเรียกค่าภาษีอากรและค่าธรรมเนียมการโอนทรัพย์ที่ซื้อจากผู้ซื้อทรัพย์ได้ แม้ตามคำฟ้องของโจทก์ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาด จะเป็นผู้ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นส่งเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดไปชำระค่าธรรมเนียมการโอน และศาลชั้นต้นได้จัดส่งเงินไปให้ตามขอ โดยจำเลยที่ 1 ให้สัตยาบันในการกระทำของจำเลยที่ 2และรับโอนที่ดินแปลงดังกล่าวมาเป็นของตนก็ตาม แต่การจะให้ส่งเงินไปตามคำร้องหรือไม่ เป็นอำนาจของศาล จึงเป็นเรื่องระหว่างศาลกับลูกหนี้ตามคำพิพากษา หากเห็นว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เป็นไปตามเงื่อนไขในประกาศขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดี โจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาก็ควรจะอุทธรณ์คำสั่งของศาลนั้น ในคำฟ้องโจทก์ก็ปรากฏว่าโจทก์ได้อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นแต่ศาลสั่งไม่รับเพราะอุทธรณ์เกินกำหนดโจทก์ก็ควรยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นแก้ไขคำสั่งนั้นได้ ข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวมาในฟ้องยังถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า จำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับเป็นการวินิจฉัยถึงเนื้อหาแห่งคดีแล้ว มิใช่กรณีสั่งรับหรือไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 ศาลชั้นต้นไม่คืนค่าขึ้นศาลแก่โจทก์จึงชอบแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้ให้คืนค่าขึ้นศาลแก่โจทก์นั้น แม้ไม่มีฝ่ายใดฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยแก้ไขให้ถูกต้องได้เพราะเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้อง ขอให้ศาลชั้นต้นส่งเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินของโจทก์ทั้งสองไปเสียภาษีทำให้เงินขาดหายไปเป็นเงิน 660,000 บาท ทำให้โจทก์ทั้งสองเสียหาย จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดชำระเงินจำนวน 660,000 บาทและค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองในอัตราเท่าค่าดอกเบี้ยคืออัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นส่งเงินไปให้แก่พนักงานที่ดินจังหวัดศรีสะเกษถึงวันฟ้องเป็นเงินค่าดอกเบี้ย 433,950 บาท รวมเป็นเงินค่าเสียหายทั้งสิ้นจำนวน1,093,950 บาท จำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือให้สัตยาบันยอมรับเอาการกระทำของจำเลยที่ 2 และรับโอนที่ดินแปลงดังกล่าวมาเป็นของจำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองด้วย หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 40 ตำบลน้ำอ้อม อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษพร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินนั้นคืนแก่โจทก์ทั้งสองด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลย หากจำเลยคนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคนไม่ไปโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงดังกล่าว ก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า การที่จำเลยขอให้ศาลส่งเงินจากการขายทอดตลาดไปให้แก่พนักงานที่ดินจังหวัดศรีสะเกษเป็นค่าภาษีอากรในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ และศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตนั้น หากโจทก์เห็นว่าคำสั่งศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา โจทก์ชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลอุทธรณ์เท่านั้น จำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์ที่จะต้องชดใช้เงินตามฟ้องแก่โจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ขอให้รับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาหากไม่รับก็ขอให้สั่งคืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ศาลชั้นต้นคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดให้แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลของเจ้าพนักงานบังคับคดีนั้น เจ้าพนักงานบังคับคดีมิใช่ตัวแทนของลูกหนี้หรือเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ฉะนั้นเงื่อนไขใด ๆ ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนดขึ้นในการขายทอดตลาดจึงผูกพันกันระหว่างผู้เข้าสู้ราคาในการขายทอดตลาดหรือผู้ซื้อทรัพย์กับเจ้าพนักงานบังคับคดีเท่านั้น หาได้โอนมายังลูกหนี้หรือเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไม่ เพราะไม่ใช่เรื่องสัญญาตัวแทน ถ้าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติลักษณะ 2 ว่าด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง เจ้าหนี้หรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาก็มีสิทธิเพียงขอให้ศาลมีคำสั่งยกกระบวนวิธีการบังคับคดีตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง เท่านั้นดังนั้น คดีนี้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาจึงไม่มีสิทธิที่จะอ้างเงื่อนไขที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนดขึ้นมาฟ้องเรียกค่าภาษีอากรและค่าธรรมเนียมการโอนทรัพย์ที่ซื้อจากจำเลยทั้งสองได้ แม้จำเลยที่ 2 จะเป็นผู้ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นส่งเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดไปชำระค่าธรรมเนียมการโอน แต่การจะให้ส่งเงินไปตามคำร้องหรือไม่เป็นอำนาจของศาลจึงเป็นเรื่องระหว่างศาลกับลูกหนี้ตามคำพิพากษาหากเห็นว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เป็นไปตามเงื่อนไขในประกาศขายทอดตลาดอสังหาริมทรัพย์ของเจ้าพนักงานบังคับคดี โจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาก็ควรจะอุทธรณ์คำสั่งศาลนั้นในคำฟ้อง โจทก์ก็ปรากฏว่าโจทก์ได้อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น แต่ศาลสั่งไม่รับเพราะอุทธรณ์เกินกำหนด ก็ควรจะยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นแก้ไขคำสั่งนั้นได้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 73/2527 คดีระหว่างนางห้องหยก ถาวรวันชัย โจทก์ นางสาวสนธนา มงคลชาติ จำเลย และคำพิพากษาฎีกาที่ 1282/2510 คดีระหว่าง พระสิทธิสาร โจทก์ นายบักซ้ง แซ่ปึง จำเลย ข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวมาในฟ้อง ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง ศาลล่างทั้งสองยกฟ้องของโจทก์ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดให้แก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ที่ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วมีคำสั่งว่าจำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์ที่จะต้องชดใช้เงินตามฟ้องแก่โจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยคดีนี้จึงให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับนั้น เป็นการที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยถึงสิทธิของโจทก์ว่า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยอันเป็นการวินิจฉัยถึงเนื้อหาแห่งคดีแล้วว่าโจทก์ไม่อาจใช้สิทธิทางศาลได้ไม่ใช่กรณีสั่งรับหรือไม่รับคำคู่ความ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกฟ้อง ไม่คืนค่าขึ้นศาลให้แก่โจทก์โดยสั่งว่าค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับจึงเป็นการชอบแล้ว ปัญหานี้แม้ไม่มีฝ่ายใดฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแก้ไขให้ถูกต้องได้เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่คืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นให้โจทก์นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share