แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า มารดาโจทก์กับ ม. ซึ่ง เป็นมารดาของเจ้ามรดกไม่มีอำนาจทำสัญญาแบ่งมรดก จึงขอเรียกทรัพย์มรดกส่วนที่ ม. รับไปคืนจากจำเลยทั้งสี่ซึ่ง เป็นผู้รับโอนเป็นการฟ้องเรียกทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกคืนจากทายาท ต้อง ฟ้องภายในกำหนดอายุความตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754
ในขณะที่ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์เป็นบุตรชอบด้วย กฎหมายของเจ้ามรดกนั้นโจทก์มีมารดาเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม ถือได้ว่าโจทก์โดย มารดารู้หรือควรรู้ถึงความตายของเจ้ามรดกตั้งแต่ วันดังกล่าว เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้เกิน 1 ปีแล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความ
จำเลยทั้งสี่เป็นผู้รับโอนทรัพย์มรดกจาก ม. ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมของเจ้ามรดก ย่อมเป็นบุคคลซึ่ง ชอบที่จะใช้ สิทธิของทายาทยกอายุความขึ้นต่อสู้ โจทก์ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1755
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายเลอศักดิ์ เปรมสุริยา กับนางสุนีย์ เปรมสุริยา ตามคำสั่งศาลจังหวัดนครปฐม นายเลอศักดิ์ถึงแก่กรรมมีทายาทเพียงผู้เดียวคือโจทก์ มีทรัพย์มรดกเป็นที่ดิน ๓ แปลง ระว่างที่โจทก์ยังไม่คลอดจากครรภ์มารดานั้น นางสุนีย์มารดาโจทก์ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับนางมึ้งมารดาของเจ้ามรดกรายนี้โดยนางสุนีย์ไม่ทราบว่ากำลังตั้งครรภ์ สัญญาประนีประนอมจึงเป็นโมฆะ ต่อมามารดาโจทก์กับมารดาเจ้ามรดกได้ร่วมกันจดทะเบียนโอนขายที่ดินโฉนดที่ ๕๐๕๑ เฉพาะส่วนที่เป็นมรดกให้แก่จำเลยที่ ๑ โดยไม่มีการชำระราคาเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญาซื้อขายจึงเป็นโมฆะ แล้วจำเลยที่ ๑ ได้ทำการฉ้อฉลโอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ ๒ โดยไม่มีการชำระราคาเช่นกัน จำเลยที่ ๒ โอนขายให้แก่จำเลยที่ ๓ โดยไม่มีการชำระราคา เพียงเจตนาหลีกเลี่ยงมิให้โจทก์เรียกคืน ต่อมาจำเลยที่ ๓ จดทะเบียนให้จำเลยที่ ๔ เข้าถือกรรมสิทธิ์ร่วม การกระทำของจำเลยทั้งสี่ไม่สุจริต ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนของเจ้ามรดก ๑ ใน ๕ ส่วน หากไม่สามารถปฏิบัติได้ ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้เงินจำนวน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ หากไม่ชำระหน้ให้นำที่ดินดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระแก่โจทก์ ๑ ใน ๕ ส่วน ให้จำเลยทั้งสี่ชำระดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี+ต้นเงิน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะปฏิบัติตามคำพิพากษา
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า สัญญาประนีประนอมยอมความทำด้วยความสมัครใจ มีผลสมบูรณ์ไม่เป็นโมฆะ จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ซื้อที่ดินโดยชอบ และเสียค่าตอบแทนโดยสุจริต โจทก์โดยนางสุนีย์ผู้ใช้อำนาจปกครองได้ทราบเรื่องมาตั้งแต่ต้นแต่ไม่ฟ้องคดีเสียภายใน ๑ ปี นับแต่วันที่โจทก์เกิด คดีจึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาว่า ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่เห็นว่า ตามฟ้องของโจทก์บรรยายว่า เมื่อนายเลอศักดิ์เจ้ามรดกถึงแก่กรรม นางมึ้ง แซ่อึ๊ง มารดาของเจ้ามรดกยังมีชีวิตอยู่ นางมึ๊ง แซ่อึ๊ง จึงเป็นทายาทโดยธรรมของนายเลอศักดิ์เจ้ามรดก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๒๙ (๒) และตามฟ้องของโจทก์อ้างว่า นางสุนีย์มารดาโจทก์กับนางมึ้ง แซ่อึ๊ง มารดาของเจ้ามรดกซึ่งต่างก็เป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาล ไม่มีอำนาจทำสัญญาแบ่งมรดกของนายเลอศักดิ์โจทก์จึงขอเรียกทรัพย์มรดกของนายเลอศักดิ์ส่วนที่นางผึ้ง แซ่อึ๊ง รับไปคืนจากจำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นผู้รับโอน เป็นการฟ้องเรียกทรัพย์มรดกของนายเลอศักดิ์เจ้ามรดกคืนจากทายาทต้องฟ้องภายในกำหนดอายุความ ๑ ปี นับแต่เมื่อเจ้ามรดกตายหรือนับแต่เมื่อโจทก์ได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๗๕๔ ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายเลอศักดิ์เจ้ามรดกเมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๒๒ ในขณะนั้นโจทก์มีนางสุนีย์มารดาเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมถือได้ว่าโจทก์โดยนางสุนีย์มารดารู้หรือควร ได้รู้ถึงความตายของนายเลอศักดิ์เจ้ามรดกตั้งแต่วันดังกล่าว โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๒๕ เกิน ๑ ปีแล้ว เช่นนี้คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามบทกฎหมายดังกล่าว จำเลยทั้งสี่เป็นผู้รับโอนทรัพย์มรดกมาจากนางมึ้งซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมนายเลอศักดิ์เจ้ามรดก ยอมเป็นบุคคลซึ่งชอบที่จะใช้สิทธิของทายาทอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๕๕
พิพากษายืน.