คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4473/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ผู้ตายเมาสุราไม่สามารถครองสติได้ แต่เมื่อผู้ตายเดินโซเซข้ามถนนมาย่อมไม่ว่องไวเหมือนบุคคลธรรมดา ผู้ตายเดินผ่านช่องเดินรถได้ถึง 2 ช่อง แล้วถูกรถที่จำเลยขับชนในช่องที่ 3 หากจำเลยขับรถด้วยความระมัดระวังจะต้องสังเกตเห็นผู้ตายกำลังเดินข้ามถนนอยู่ข้างหน้าในระยะไกล สามารถหลีกเลี่ยงภยันตรายไม่ให้เกิดขึ้นได้ การที่จำเลยขับรถชนผู้ตายถือว่าเป็นความประมาทของจำเลย หาใช่เกิดจากเหตุสุดวิสัยไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์ส่วนบุคคลด้วยความประมาทใช้ความเร็วสูงไม่ระมัดระวังดูให้ดีว่ามีคนเดินข้ามถนนข้างหน้าหรือไม่ เป็นเหตุให้รถที่จำเลยขับชนนายไกรทอง แสงรูจี ซึ่งเดินข้ามถนนผ่านหน้าจนถึงแก่ความตายในที่เกิดเหตุทันที ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 32, 43(4), 157
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา เด็กชายกล้าณรงค์ แสงรูจี บุตรของนายไกรทอง แสงรูจี ผู้ตายโดยนางอำพร ชื่นอารมย์ มารดาซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 32, 43(4), 157 ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 3 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ผู้ตายเมาสุราไม่สามารถครองสติได้แต่เมื่อผู้ตายเดินโซเซข้ามถนนมาย่อมไม่ว่องไวเหมือนบุคคลธรรมดาการที่ผู้ตายเดินผ่านช่องเดินรถได้ถึง 2 ช่องแล้วมาถูกชนในช่องที่ 3จึงใช้เวลามากกว่าคนปกติ หากจำเลยขับรถด้วยความระมัดระวังจะต้องสังเกตเห็นผู้ตายกำลังเดินข้ามถนนอยู่ข้างหน้าในระยะไกล สามารถหลีกเลี่ยงภยันตรายไม่ให้เกิดขึ้นได้ การที่จำเลยขับรถชนผู้ตายถึงขับด้วยความเร็ว 60-70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็ถือว่าเป็นความประมาทของจำเลยหาใช่เกิดเหตุสุดวิสัยไม่และวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าควรลงโทษจำเลยในสถานเบาและรอการลงโทษให้จำเลย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุก 2 ปี โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 3 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share