คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4070/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่บิดาจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินเดิมและจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของสืบต่อมายินยอมให้บุคคลทั่วไปใช้ถนนพิพาทเป็นเวลาถึง20 กว่าปี โดยได้สร้างรั้วคอนกรีตเป็นแนวเขตระหว่างบ้านกับถนนพิพาทมาเป็นเวลากว่า 20 ปี ตลอดจนมีการเรี่ยไรเงินและการทางซ่อมถนนพิพาทหลายครั้ง ทั้งราชการก็ใช้งบประมาณซื้อลูกรังมาช่วยด้วยโดยที่เจ้าของที่ดินมิได้หวงห้ามหรือสงวนสิทธิ์ย่อมถึงได้ว่าเจ้าของที่ดินได้อุทิศถนนพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์โดยปริยาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายหนู บิดาจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 2796 ตำบลหนองแขม อำเภอกระทุ่มแบน ได้สละกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองในที่ดินบางส่วนซึ่งอยู่ปลายโฉนดของที่ดินดังกล่าวมีเนื้อที่เป็นอาณาเขตทิศเหนือกว้างประมาณ 16 เมตร ทิศใต้กว้างประมาณ 15 เมตร ทิศตะวันตกและตะวันออกกว้างด้านละประมาณ 8 เมตรอุทิศให้เป็นทางสาธารณะชื่อถนนซอยโรงน้ำแข็งวันชัยเพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ประชาชนได้ร่วมกับทางราชการก่อสร้างและบูรณะถนนดังกล่าวซึ่งตัดผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 2796 ออกสู่ถนนเศรษฐกิจ 1โจทก์ทั้งสามและประชาชนทั่วไปได้ใช้ถนนสายนี้ตลอดมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 30 ปี โดยไม่มีจำเลยหรือผู้ใดโต้แย้ง จึงตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นายหนูถึงแก่กรรมจำเลยซึ่งเป็นทายาทได้รับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 2796 โดยทางมรดกแล้วจำเลยได้ปิดกั้นถนนดังกล่าวห้ามมิให้โจทก์ทั้งสามและประชาชนทั่วไปใช้ประโยชน์ตามปกติ โดยจำเลยได้ปักเสาหินที่สองฟากถนนแล้วใช้เหล็กพาดขวางถนนไว้ เป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสามโดยตรงและประชาชนทั่วไป ขอบังคับให้จำเลยรื้อถอนสิ่งกีดขวางทั้งหมดออกไปจากถนนซอยโรงน้ำแข็งวันชัย ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับถนนดังกล่าว และให้พิพากษาว่าที่ดินบางส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 2796 เป็นทางสาธารณประโยชน์ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามเป็นเงิน 24,000 บาท และอีกคนละ 1,000 บาทต่อวัน จนกว่าจำเลยจะรื้อถอนสิ่งกีดขวางออกไปจากถนนดังกล่าว
จำเลยให้การว่า นายหนูและจำเลยไม่เคยยกที่ดินให้เป็นทางสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และไม่เคยอนุญาตให้บุคคลทั่วไปผ่านสัญจรไปมา นอกจากผู้ที่ได้รับอนุญาตเพียงบางราย โจทก์ทั้งสามไม่เคยได้รับอนุญาตจึงไม่มีสิทธิผ่านเข้าออกที่ดินแปลงดังกล่าวโจทก์ทั้งสามไม่เสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ถนนพิพาทตามแผนที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินบางส่วนของโฉนดที่ดินเลขที่ 2796 ตำบลหนองแขม (สวนหลวง)อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร เป็นทางสาธารณประโยชน์ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งกีดขวางทั้งหมดออกไปจากถนนพิพาท ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับถนนพิพาท กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามในระหว่างที่มีการปิดกั้นถนนพิพาทเป็นเงินคนละวันละ 500 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ทั้งสามในระหว่างมีการปิดกั้นถนนพิพาทเป็นเงินคนละ 50 บาทต่อวัน นับแต่วันที่ 8 มกราคม 2531 จนถึงวันที่จำเลยเปิดถนนไว้ตามเดิม นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า ถนนพิพาทเป็นถนนเชื่อมโยงกับถนนซอยโรงน้ำแข็งวันชัย ซึ่งปากซอยถนนติดถนนเศรษฐกิจ 1ลักษณะเป็นถนนซอยเดียวกัน มีชื่อเรียกว่าถนนซอยโรงน้ำแข็งเช่นเดียวกัน พยานโจทก์หลายปากก็เบิกความว่าได้ใช้ถนนพิพาทมานานประมาณ 30 ปีแล้ว สอดคล้องกับคำเบิกความของโจทก์ทั้งสามทั้งจำเลยเองก็เบิกความรับว่า นายหนูบิดาจำเลยและเจ้าของโรงน้ำแข็งวันชัยได้ร่วมกันสร้างถนนพิพาทเมื่อประมาณ 20 ปีมาแล้วพันตำรวจเอกวันชัย ค้าดี พยานจำเลยซึ่งมีที่ดินใกล้กับถนนพิพาทก็เบิกความว่าถนนพิพาทนี้ได้สร้างมาประมาณ 35 ปีแล้ว โดยบิดาของพยานเป็นคนสร้างเพื่อใช้เป็นทางเข้าออกจากโรงน้ำแข็งวันชัยสู่ถนนเศรษฐกิจ 1 และยอมให้ประชาชนทั่วไปใช้สัญจรไปมาเมื่อประมาณ 10 ปีมานี้ พยานได้รับโอนที่ดินจากมารดามาเป็นของพยานพยานอนุญาตให้ประชาชนทั่วไปใช้ได้แต่ต้องไม่รบกวนหรือทำให้สภาพแวดล้อมเสียหาย พยานไม่เคยหวงห้ามมิให้ประชาชนในละแวกนั้นใช้เส้นทางสัญจรไปมาแต่อย่างใด จึงรับฟังได้ว่า เจ้าของที่ดินยินยอมให้ประชาชนทั่วไปใช้ถนนพิพาทโดยมิได้หวงห้ามเรื่อยมาเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว จนกระทั่งจำเลยได้ปิดกั้นเมื่อวันที่8 มกราคม 2531 นอกจากนี้ตามคำเบิกความของนายวิชัย ตันติยนุกุลชัยผู้ช่วยเลขานุการจังหวัดสมุทรสาคร พยานโจทก์ประกอบเอกสารหมาย จ.7ก็ได้ความว่า มีการใช้งบประมาณของทางจังหวัดสมุทรสาครซื้อดินลูกรังมาทำการซ่อมแซมถนนซอยโรงน้ำแข็งวันชัย และโจทก์ทั้งสามกับพยานโจทก์อีกหลายปากได้เบิกความประกอบเอกสารหมาย จ.8 ถึง จ.15ว่า ระหว่าง พ.ศ. 2523 ถึง พ.ศ. 2530 โจทก์ทั้งสามกับพวกได้ร่วมกันออกเงินและแรงงานซ่อมถนนพิพาทและทางเชื่อมเข้าสู่หมู่บ้านโต้ล้งหลายครั้ง ในเรื่องนี้จำเลยก็เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่าชาวบ้านผู้ซื้อที่ดินจากพันตำรวจเอกวันชัยประมาณ 10 รายได้ออกเงินและแรงงานซ่อมถนนพิพาทโดยเริ่มจากถนนเศรษฐกิจ 1เข้าไปจนถึงบ้านโจทก์ที่ 3 คำเบิกความของจำเลยจึงเจือสมกับคำพยานหลักฐานโจทก์ ยิ่งกว่านั้นรั้วคอนกรีตที่ปรากฏในแผนที่พิพาท ซึ่งจำเลยเบิกความรับว่าทำกั้นระหว่างถนนพิพาทกับบ้านของนายสุวัฒน์น้องเขยจำเลย โดยสร้างขึ้นเมื่อ 14 ปีมาแล้วจึงแสดงว่ารั้วดังกล่าวสร้างขึ้นก่อนที่บิดาจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่พิพาทถึงแก่กรรมประมาณ 12 ปี ดังนั้น การที่บิดาจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินเดิมและจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของสืบต่อมาได้ยินยอมให้บุคคลทั่วไปใช้ถนนพิพาทมาเป็นเวลาถึง 20 กว่าปี และยังได้สร้างรั้วคอนกรีตเป็นแนวเขตระหว่างบ้านของพวกตนกับถนนพิพาทมาเป็นเวลากว่า 10 ปี ตลอดจนมีบุคคลอื่นช่วยออกเงินและแรงงานในการซ่อมถนนพิพาทมาหลายครั้งและทางการก็ใช้งบประมาณซื้อดินลูกรังมาช่วยด้วยโดยเจ้าของที่ดินมิได้หวงห้ามหรือสงวนสิทธิ์ไว้แต่ประการใดนั้นย่อมถือได้ว่าเจ้าของที่ดินได้อุทิศถนนพิพาทให้เป็นทางสาธารณประโยชน์โดยปริยาย ซึ่งหาจำต้องมีทะเบียนหรือมีหลักฐานของทางการสงวนสิทธิ์ไว้แต่ประการใดไม่ เมื่อถนนพิพาทเป็นทางสาธารณะก่อนที่จำเลยจะครอบครองนั้นก็ไม่อาจกลับสภาพมาเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยได้ การที่จำเลยทำป้ายว่าเป็นถนนส่วนบุคคลสงวนสิทธิ์ไว้และดำเนินคดีแก่นายพรชัยข้อหาบุกรุกถนนพิพาทก็ไม่ทำให้ลบล้างทางสาธารณะให้เป็นถนนส่วนบุคคลไปได้เช่นกัน”
พิพากษายืน

Share