คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1875/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลแขวงพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ปรับ 4,000 บาท ลงโทษจำเลยที่ 2 จำคุก 2 ปี แต่มีผู้พิพากษาลงนามเพียงคนเดียวเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 15 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 22(5)ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้ ต้องให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ให้ถูกต้องก่อน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341, 83 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือชดใช้เงินจำนวน250,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างการพิจารณา นายสมบูรณ์ โล่วีรวุฒิ ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 341 ลงโทษจำเลยที่ 1 ปรับ 4,000 บาทจำเลยที่ 2 จำคุก 2 ปี ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือชดใช้เงินจำนวน 250,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยทั้งสองฎีกาข้อกฎหมายว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นมีผู้พิพากษาคนเดียวลงนามให้จำคุกจำเลยที่ 2มีกำหนด 2 ปีนั้น เป็นการขัดต่อกฎหมายนั้น เห็นว่า ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 15 วรรคท้าย กำหนดว่าในการพิจารณาคดีอาญาตามมาตรา 22(5) ถ้าศาลแขวงเห็นว่าควรลงโทษจำคุกจำเลยเกินหกเดือนหรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับก็ให้มีอำนาจพิพากษาได้ แต่จะต้องให้ผู้พิพากษาอีกอย่างน้อยคนหนึ่งตรวจสำนวนและลงลายมือชื่อในคำพิพากษาเป็นองค์คณะด้วยคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปีแต่มีผู้พิพากษาลงนามเพียงคนเดียว จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาในปัญหานี้ ต้องให้ศาลชั้นต้นดำเนินการให้ถูกต้องเสียก่อน กรณีจึงยังไม่สมควรวินิจฉัยฎีกาจำเลยทั้งสองข้ออื่นในชั้นนี้
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ต่อไป

Share