แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยใช้ของเหลวไวไฟเทราดผู้ตายตั้งแต่ศีรษะลงมาถึงฟื้นห้องของเหลวไวไฟดังกล่าวเป็นวัตถุไวไฟที่ร้ายแรงติดไฟได้ง่ายและสามารถลุกลามไปได้ทั้งร่างกาย เมื่อเทของเหลวไวไฟแล้วจำเลยใช้ไฟแช็กจุดไฟที่ต้นคอผู้ตาย ก่อให้ไฟไหม้ตามตัวของผู้ตายร้อยละ90 ของร่างกาย จึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาประสงค์ต่อผลที่จะฆ่าผู้ตาย จำเลยได้ขอซื้อไฟแช็คจากส. ครั้งหนึ่งแล้ว แต่เพื่อนจำเลยห้ามไม่ให้ ส.ขายให้ทั้งจำเลยเป็นผู้ริเริ่มโทรศัพท์นัดให้ ค.และผู้ตายไปตกลงเรื่องชู้สาวในวันเกิดเหตุและตระเตรียมการซื้อไฟแช็กเพื่อประสงค์ใช้ในการจุดไฟการกระทำของจำเลยชี้ให้เห็นว่าจำเลยได้คิดทบทวนล่วงหน้าก่อนจะกระทำผิดแล้วจำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ขณะจำเลยใช้ของเหลวไวไฟเทราดไปที่ผู้ตายนั้น โจทก์ร่วมที่ 2 ลุกจากที่นั่งมาที่ผู้ตายห่างเพียง 1 เมตร จะเข้าไปห้ามปรามจำเลย แต่กลับรู้สึกตัวว่ามีไฟลุกไหม้ที่หน้าตามลำตัวด้านหน้าและที่มือทั้งสองข้าง อันเกิดจากการกระทำของจำเลยที่ใช้ของเหลวไวไฟเทราดผู้ตายแล้วของเหลวไวไฟกระเด็นไปถูกตัวโจทก์ร่วมที่ 2ด้วย ทำให้โจทก์ร่วมที่ 2 ได้รับบาดเจ็บที่ใบหน้าและตามลำตัวด้านหน้าใช้เวลารักษา 5 เดือน ถือได้ว่าจำเลยกระทำโดยเจตนาฆ่าแก่โจทก์ร่วมที่ 2 ซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 60 ด้วย เมื่อโจทก์ร่วมที่ 2 ไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าโจทก์ที่ 2 โดยไตร่ตรองไว้ก่อนอีกบทหนึ่ง จำเลยใช้ของเหลวไวไฟเทราดและจุดไฟให้ลุกไหม้ผู้ตายขณะอยู่ในห้องทำงานของโจทก์ร่วมที่ 2 บนชั้นสองของตึกแถวที่เกิดเหตุซึ่งเป็นโรงเรือนที่พักอาศัยและเป็นโรงเรียนสอนตัดเสื้อของโจทก์ที่ 1 ปรากฏว่านอกจากไฟจะลุกไหม้ผู้ตาย และโจทก์ร่วมที่ 2 แล้วยังลุกไหม้โต๊ะ เก้าอี้ และพื้นห้องของโจทก์ร่วมที่ 1 ดังกล่าวเสียหาย ซึ่งเห็นได้ว่าโดยลักษณะแห่งการกระทำของจำเลยเช่นนี้จำเลยย่อมเล็งเห็นผลการกระทำของจำเลยดังกล่าวได้ว่า ไฟต้องลุกไหม้ขึ้นภายในอาคารตึกแถวที่เกิดเหตุ ถือได้ว่าจำเลยกระทำโดยมีเจตนาวางเพลิงเผาโรงเรือนของโจทก์ร่วมที่ 1 ด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้วางเพลิงเผาทรัพย์อาคารตึกแถวโรงเรียนสอนตัดเสื้อระพี อันเป็นโรงเรือนที่คนอยู่อาศัยของนางลำยงค์ บุญรัตพันธ์ (ที่ถูกบุญยรัตนพันธ์) และโดยเจตนาฆ่านางสาวสุชาดา อิ่มบุปผา และนายธีระ สุทธิวานิช ให้ถึงแก่ความตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนโดยใช้ของเหลวไวไฟซึ่งมีปริมาณมากที่จำเลยตระเตรียมไว้ล่วงหน้า เทราดบนร่างกายของนางสาวสุชาดาและนายธีระ ของเหลวไวไฟได้ไหลลงบนพื้นอาคารดังกล่าว แล้วจำเลยใช้ไฟแช็กจุดไฟใส่ของเหลวไวไฟนั้นทันที ไฟได้ลุกไหม้ทำอันตรายร่ายกายของนางสาวสุชาดาและนายธีระ ลุกไหม้พื้นห้องอาคารและทรัพย์สิน เป็นเหตุให้นางสาวสุชาดาถึงแก่ความตาย นายธีระได้รับอันตรายสาหัส ต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวัน และประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวันเจ้าพนักงานวัตถุสีดำถูกไฟไหม้ซึ่งเป็นถังพลาสติกบรรจุของเหลวไวไฟและไฟแช็ก 1 อัน ที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดยึดเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289, 80,217, 218, 224 และริบของกลาง
ระหว่างพิจารณา นางลำยงค์ บุญยรัตนพันธ์ และนายธีระสุทธิวานิช ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตโดยให้เรียกนางลำยงค์เป็นโจทก์ร่วมที่ 1 และเรียกนายธีระเป็นโจทก์ร่วมที่ 2
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) มาตรา 289 (ที่ถูก 289(4)), 80และมาตรา 218(1) แต่การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนัก มาตรา 289(4) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ประหารชีวิต คำให้การจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52(1) คงให้จำคุกตลอดชีวิตของกลางริบ ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2534 เวลา 20 นาฬิกาเศษ จำเลยได้ใช้ของเหลวไวไฟบรรจุในกระป๋องน้ำมันเครื่องไปเทราดบริเวณศีรษะและลำตัวของนางสาวชุชาดา อิ่มบุปฝา แล้วใช้ไฟแช็กจุดไฟที่ต้นคอไฟลุกไหม้ตามลำตัวเป็นเหตุให้นางสาวสุชาดาถึงแก่ความตายนายธีระโจทก์ร่วมที่ 2 ได้รับอันตรายสาหัส โต๊ะ เก้าอี้ โซฟาและพื้นห้องซึ่งเป็นทรัพย์สินของนางลำยงค์ บุญยรัตนพันธ์โจทก์ร่วมที่ 1 ได้รับความเสียหาย ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน พยายามฆ่าโจทก์ร่วมที่ 2โดยไตร่ตรองไว้ก่อนและวางเพลิงเผาโรงเรือนของโจทก์ร่วมที่ 1หรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยใช้ของเหลวไวไฟเทราดผู้ตายตั้งแต่ศีรษะลงมาถึงพื้นห้อง ของเหลวไวไฟดังกล่าวปรากฏว่าเป็นวัตถุไวไฟที่ร้ายแรงติดไฟได้ง่ายและสามารถลุกลามไปได้ทั้งร่างกายเมื่อเทของเหลวไวไฟแล้วจำเลยใช้ไฟแช็กจุดไฟที่ต้นคอของผู้ตาย ก่อให้ไฟไหม้ตามตัวของผู้ตายร้อยละ 90 ของร่างกาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาประสงค์ต่อผลที่จะฆ่าผู้ตาย ได้ความต่อไปว่า จำเลยได้ขอซื้อไฟแช็กจากนายสุจินครั้งหนึ่งแล้ว ขณะที่นายสุจินนำไปให้ เพื่อนของจำเลยห้ามไม่ให้ขาย ทั้งให้นำไฟแช็กกลับไป การที่จำเลยเป็นผู้ริเริ่มโทรศัพท์นัดให้นายคงศักดิ์และผู้ตายไปตกลงเรื่องชู้สาวในวันเกิดเหตุและตระเตรียมการซื้อไฟแช็กเพื่อประสงค์ใช้ในการจุดไฟ แม้นายสุจินจะมิได้ขายให้ในขณะนั้นก็ตามลักษณะการกระทำของจำเลยเช่นนี้ชี้ให้เห็นว่าจำเลยได้คิดทบทวนล่วงหน้าก่อนและกระทำผิดแล้ว จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและได้ความต่อมาว่า ขณะที่จำเลยใช้ของเหลวไวไฟเทราดไปที่ผู้ตายนั้น โจทก์ร่วมที่ 2 ลุกจากที่นั่งมาที่ผู้ตายห่างเพียง 1 เมตร จะเข้าไปห้ามปรามจำเลยแต่กลับรู้สึกตัวว่ามีไฟลุกไหม้ที่หน้าตามลำตัวด้านหน้าและที่มือทั้งสองข้าง สาเหตุที่ก่อให้เกิดไฟไหม้ตามร่างกายของโจทก์ร่วมที่ 2 ก็เพราะเกิดจากการกระทำของจำเลยที่ใช้ของเหลวไวไฟไปราดผู้ตายแล้วของเหลวไวไฟกระเด็นไปถูกตัวโจทก์ร่วมที่ 2 ด้วย ทำให้โจทก์ร่วมที่ 2 ถูกไฟไหม้ได้รับบาดเจ็บใบหน้าและตามตัวด้านหน้าใช้เวลารักษารวม 5 เดือน จึงถือได้ว่าจำเลยกระทำโดยเจตนาฆ่าแก่โจทก์ร่วมที่ 2 ซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 60 ด้วย เมื่อโจทก์ร่วมที่ 2 ไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าโจทก์ร่วมที่ 2 โดยไตร่ตรองไว้ก่อนอีกบทหนึ่ง ส่วนความผิดฐานวางเพลิงเผาโรงเรือนของโจทก์ร่วมที่ 1 นั้น ได้ความว่า จำเลยได้ใช้ของเหลวไวไฟบรรจุในกระป๋องน้ำมันเครื่องไปเทราดและจุดไฟให้ลุกไหม้ผู้ตายขณะอยู่ในห้องทำงานของโจทก์ร่วมที่ 2 บนชั้นสองของตึกแถวที่เกิดเหตุซึ่งเป็นโรงเรือนที่พักอาศัยและเป็นโรงเรือนสอนตัดเสื้อของโจทก์ร่วมที่ 1 ปรากฏว่านอกจากไฟจะลุกไหม้ผู้ตายและโจทก์ร่วมที่ 2 แล้ว ยังลุกไหม้โต๊ะ เก้าอี้ และพื้นห้องของโจทก์ร่วมที่ 1ดังกล่าวเสียหาย ซึ่งจะเห็นได้ว่าโดยลักษณะแห่งการกระทำของจำเลยเช่นนี้จำเลยย่อมเล็งเห็นผลการกระทำของจำเลยดังกล่าวได้ว่าไฟต้องลุกไหม้ขึ้นภายในอาคารตึกแถวที่เกิดเหตุ ถือได้ว่าจำเลยกระทำโดยมีเจตนาวางเพลิงเผาโรงเรือนของโจทก์ร่วมที่ 1 ด้วย
พิพากษายืน