คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5631/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ได้รับทุนของรัฐบาล ประเทศออสเตรเลีย ภายใต้แผนโคลัมโบเพื่อไปศึกษาที่ประเทศออสเตรเลีย โดยมีข้อสัญญากับโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 สำเร็จการศึกษาแล้วจะต้องกลับมารับราชการกับโจทก์ หากไม่กลับมายอมคืนเงินค่าใช้จ่ายเต็มจำนวนทันที โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาจำเลยที่ 1 สำเร็จการศึกษาเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2512 และโจทก์อนุมัติให้ลาศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกาอีก 2 ปี หลังจากครบกำหนดแล้ว จำเลยที่ 1ไม่กลับมารับราชการกับโจทก์ตามสัญญา ดังนี้ ตามสัญญาดังกล่าวโจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เงินค่าใช้จ่ายทันทีเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่กลับมารับราชการอายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2514 อันเป็นวันที่โจทก์อาจบังคับใช้สิทธิเรียกร้องตามสัญญาได้ โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2532จึงพ้นกำหนด 10 ปี ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิมแล้ว โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญาการที่จำเลยที่ 1 ส่งโทรเลขถึงโจทก์ว่า ได้ทราบข้อความในจดหมายแล้วจะกลับมาติดต่อกับโจทก์โดยเร็วนั้น ข้อความในโทรเลขเป็นเพียงการตอบโจทก์ว่าจะติดต่อกับโจทก์เท่านั้น ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 รับสภาพหนี้ต่อโจทก์ และถือไม่ได้เป็นการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยว่ายอมรับสภาพหนี้ต่อโจทก์อายุความจึงไม่สะดุดหยุดลง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้รับทุนรัฐบาลออสเตรเลียภายใต้แผนโคลัมโบผ่านกรมวิเทศสหการเพื่อศึกษาในระดับปริญญาตรีมีกำหนด 4 ปี จำเลยที่ 1 ทำสัญญากับโจทก์ว่า เมื่อจำเลยที่ 1สำเร็จการศึกษาแล้วต้องเข้ารับราชการกับโจทก์เป็นเวลาไม่น้อยกว่า2 เท่า ของเวลาที่ลาไปศึกษา ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่กลับมารับราชการยินยอมคืนเงินค่าใช้จ่ายที่รัฐบาลออสเตรเลียออกให้ทั้งสิ้นและต้องชำระให้ทั้งหมดทันที หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามสัญญายอมให้โจทก์ฟ้องเรียกเงินที่ค้างชำระได้ทันทีโดยมิต้องบอกกล่าวจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 โดยสัญญาว่าถ้าจำเลยที่ 1ผิดสัญญา จำเลยที่ 2 ยอมชำระหนี้ให้โจทก์ตามสัญญาดังกล่าวทุกประการ แม้โจทก์จะผ่อนเวลาชำระหนี้ให้จำเลยที่ 1 ก็ตามจำเลยที่ 1 ไปศึกษาที่ประเทศออสเตรเลียตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน2504 ถึงวันที่ 17 มีนาคม 2512 เป็นเวลา 7 ปี 4 เดือน 12 วันจึงสำเร็จการศึกษาได้รับปริญญาตรีเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2511 จำเลยที่ 1 มีหนังสือถึงโจทก์ขอศึกษาปริญญาโทต่ออีก 2 ปี โจทก์ไม่ขัดข้องครบกำหนดแล้วจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่กลับมารับราชการขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 501,801.40 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงิน 311,194.67 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า ทุนการศึกษาซึ่งจำเลยที่ 1 ได้รับมิใช่เป็นทุนของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 1 ไม่เคยโทรเลขติดต่อรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ ข้อความในโทรเลขดังกล่าวก็มิใช่เป็นการรับสภาพหนี้ โจทก์มิได้ฟ้องจำเลยที่ 2 ภายในกำหนดอายุความ 10 ปีนับแต่จำเลยที่ 1 สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีที่ประเทศออสเตรเลียคดีโจทก์ขาดอายุความ และที่โจทก์อนุญาตให้จำเลยที่ 1 ศึกษาปริญญาโทต่อ จำเลยที่ 2 มิได้ตกลงในการผ่อนเวลาด้วยย่อมหลุดพ้นจากความรับผิด หากจำเลยที่ 2 ต้องรับผิด โจทก์เรียกดอกเบี้ยได้ไม่เกิน 5 ปี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน311,194.67 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเวลา 5 ปี และนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ
โจทก์และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 311,194.67 บาท นับแต่วันที่27 กุมภาพันธ์ 2524 ถึงวันฟ้องคือวันที่ 26 เมษายน 2532 แต่ดอกเบี้ยต้องไม่เกินจำนวน 190,606.73 บาท เท่าที่โจทก์ขอ และดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ ยกฟ้องจำเลยที่ 2นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ฎีกาเพียงข้อเดียวว่า ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ขาดอายุความหรือไม่ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2504 จำเลยที่ 1ได้รับทุนของรัฐบาลประเทศออสเตรเลียภายใต้แผนโคลัมโบโดยผ่านกรมวิเทศสหการเพื่อไปศึกษาปริญญาตรีที่ประเทศออสเตรเลียมีกำหนด4 ปี มีสัญญากับโจทก์ว่าจำเลยที่ 1 สำเร็จการศึกษาแล้วต้องกลับมารับราชการกับโจทก์เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 2 เท่าของเวลาที่ไปศึกษาถ้าไม่กลับมารับราชการยอมคืนเงินค่าใช้จ่ายที่รัฐบาลประเทศออสเตรเลียออกให้เต็มจำนวนทันที จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 สำเร็จการศึกษาเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2512 และโจทก์อนุมัติให้จำเลยที่ 1 ไปศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกาอีก 2 ปีหลังจากครบกำหนดแล้วจำเลยที่ 1 ไม่กลับมารับราชการกับโจทก์ตามสัญญาเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2524 โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญาแต่ส่งหนังสือให้จำเลยที่ 1 ไม่ได้โจทก์จึงทวงถามจำเลยที่ 2 ต่อมาวันที่ 12 มิถุนายน 2524 จำเลยที่ 1ส่งโทรเลขจากประเทศสหรัฐอเมริกาถึงโจทก์ ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.1 ว่าได้รับทราบข้อความในจดหมายแล้วและจะกลับมาติดต่อกับโจทก์โดยเร็วที่โจทก์ฎีกาว่าอายุความต้องนับตั้งแต่วันที่ 27กุมภาพันธ์ 2524 เป็นต้นมานั้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1สำเร็จการศึกษาเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2512 และได้รับอนุมัติจากโจทก์ให้ศึกษาระดับปริญญาโทต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกาอีก2 ปี จำเลยที่ 1 จึงต้องกลับมารับราชการกับโจทก์ตามสัญญาเมื่อครบกำหนดเวลา 2 ปี ตามที่โจทก์อนุมัติ เมื่อจำเลยที่ 1ไม่กลับมารับราชการ โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1ชำระเงินค่าใช้จ่ายได้ทันทีตามที่ระบุไว้ในสัญญาดังกล่าวอายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2514 อันเป็นวันที่โจทก์อาจบังคับใช้สิทธิเรียกร้องตามสัญญาได้เป็นต้นมา ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าข้อความในโทรเลขดังกล่าวเป็นการรับสภาพหนี้ต่อโจทก์หรือทำการอย่างใดอย่างหนึ่งอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์ อายุความย่อมสะดุดหยุดลงคดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2จึงไม่ขาดอายุความนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าข้อความดังกล่าวเป็นแต่เพียงการตอบโจทก์ว่าจะติดต่อกับโจทก์เท่านั้น ไม่มีข้อความใดกล่าวถึงเรื่องหนี้สินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เลย จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 รับสภาพหนี้ต่อโจทก์ ทั้งการที่จำเลยที่ 1ส่งโทรเลขดังกล่าวถึงโจทก์ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ อายุความจึงไม่สะดุดหยุดลง เมื่อนับตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2514 จนถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้คือวันที่26 เมษายน 2532 จึงพ้นกำหนด 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164 เดิม คดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ย่อมขาดอายุความ
พิพากษายืน

Share