คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5339/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทและเนื่องจากโจทก์เป็นหนี้ธนาคารจำนวนมาก แต่ที่ดินพิพาทมีราคาต่ำ ธนาคารไม่มีความเชื่อถือที่จะให้โจทก์ใช้เป็นหลักประกันในการกู้เงินได้โจทก์จึงต้องแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้กันโอนขายให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์แล้วให้จำเลยนำไปจำนองเป็นประกันเงินกู้ที่ ป. เป็นผู้กู้จากธนาคารแทนโจทก์ ต่อมาโจทก์ได้มอบเงินให้จำเลยชำระหนี้แก่ธนาคารครบถ้วนแล้ว แต่จำเลยยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวคืนโจทก์ต่อมาจำเลยนำที่ดินไปจำนองเป็นประกันเงินกู้ที่ธนาคารอีก โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์และปฏิเสธไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินคืนโจทก์จึงขอให้บังคับจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทคืนโจทก์โดยปลอดภาระหนี้สิน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา ดังนี้ แม้ข้อเท็จจริงจะได้ความตามคำฟ้อง แต่ศาลก็ไม่อาจบังคับตามคำขอของโจทก์ที่ขอให้บังคับจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินคืนโจทก์โดยปลอดภาระหนี้สิน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยได้ เพราะจะทำให้กระทบกระเทือนถึงสิทธิของผู้รับจำนอง เว้นแต่จะได้มีการชำระหนี้โดยครบถ้วนจึงจะดำเนินการไถ่ถอนจำนองได้ ดังนั้น หากจำเลยไม่ดำเนินการไถ่ถอนจำนองแล้ว จึงต้องให้โจทก์ดำเนินการแทนโดยให้จำเลยรับผิดชอบชดใช้ค่าใช้จ่ายทั้งหมด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำนิติกรรมขายที่ดินโฉนดเลขที่ 4275ให้จำเลยด้วยเจตนาลวงโดยสมรู้กันว่าไม่ได้ทำสัญญาซื้อขายกันจริงขอให้บังคับจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 4275 ตำบลนนทรีอำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี คืนโจทก์โดยปลอดภาระหนี้สินหากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การว่า จำเลยซื้อที่ดินพิพาทมาโดยสุจริต ไม่ได้กระทำด้วยเจตนาลวงแต่ประการใด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไถ่ถอนการจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 4275ตำบลนนทรี อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี แล้วจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์คืนให้โจทก์ ถ้าจำเลยไม่ไปดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า เดิมโจทก์มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2520 โจทก์ได้จดทะเบียนโอนขายให้จำเลย ตามหนังสือสัญญาขายที่ดิน เอกสารหมาย จ.5 และจำเลยได้จดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทเป็นประกันหนี้ที่นางสาวประหยัดสุจรรยา กู้เงินธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขากบินทร์บุรีจำนวน 20,000 บาท ต่อมาธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขากบินทร์บุรีฟ้องนางสาวประหยัดกับจำเลยเพื่อบังคับชำระหนี้ต่อศาลชั้นต้นตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 128/2523 ของศาลชั้นต้นนางสาวประหยัดกับจำเลยก็ทำสัญญาประนีประนอมยอมความขอผ่อนชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2526 แล้วจำเลยก็จดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทเป็นประกันเงินกู้นางทองขาวอัญชลิสังกาศ ภรรยาจำเลยในวันเดียวกัน
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า หนังสือสัญญาขายที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยตามเอกสารหมาย จ.5 เกิดขึ้นด้วยเจตนาลวงระหว่างคู่กรณีหรือไม่ เชื่อว่าที่ได้มีการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินพิพาทตามเอกสารหมาย จ.5 ก็เพื่อให้จำเลยนำไปจำนองเป็นประกันเงินกู้ที่นางสาวประหยัดกู้มาให้โจทก์โดยมิได้ตกลงซื้อขายกันจริงแต่อย่างใด หนังสือสัญญาขายที่ดินตามเอกสารหมาย จ.5เกิดขึ้นโดยเจตนาลวงระหว่างคู่กรณี จึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118 (มาตรา 155 ที่แก้ไขใหม่) จำเลยไม่มีอำนาจนำที่ดินพิพาทไปจำนองต่อธนาคารกรุงเทพ จำกัด จึงเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องนำเงินไปชำระแก่ผู้รับจำนองซึ่งเป็นเจ้าหนี้เพื่อไถ่ถอนจำนองโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินคืนโจทก์ ฎีกาของโจทก์เกี่ยวกับการครอบครองโดยปรปักษ์ ศาลฎีกาไม่จำต้องวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย แต่ที่โจทก์ขอให้บังคับจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินคืนโจทก์โดยปลอดภาระหนี้สินหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยนั้น เห็นว่า การบังคับตามคำขอดังกล่าวจะถือเอาคำพิพากษาแสดงเจตนาของจำเลยไม่ได้ เพราะจะทำให้กระทบกระเทือนถึงสิทธิของผู้รับจำนองเว้นแต่จะได้มีการชำระหนี้โดยครบถ้วนจึงจะดำเนินการไถ่ถอนจำนองได้ดังนั้น หากจำเลยไม่ดำเนินการไถ่ถอนจำนองแล้ว เห็นสมควรให้โจทก์ดำเนินการแทนโดยให้จำเลยรับผิดชอบโดยชดใช้ค่าใช้จ่ายทั้งหมด”
พิพากษากลับ ให้จำเลยไปไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 4275ตำบลนนทรี อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี แล้วให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินคืนโจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้โจทก์ดำเนินการไถ่ถอนจำนองที่ดินแทนจำเลย โดยให้จำเลยรับผิดชอบชดใช้ค่าใช้จ่ายทั้งหมด และให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

Share