แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฎีกาว่า ไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1แต่มิได้กล่าวให้แจ้งชัดว่าไม่เห็นด้วยในปัญหาข้อไหน อย่างไรเป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยหรือไม่ เพียงแต่กล่าวอ้างความเป็นมาของที่ดินพิพาทและโต้แย้งการรับฟังเอกสารซึ่งซ้ำกับที่กล่าวในอุทธรณ์อันเป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นเท่านั้นจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 7658 ตำบลท่าหลวง อำเภอพิมายจังหวัดนครราชสีมา โดยซื้อมาจากการขายทอดตลาดของศาลชั้นต้นในขณะนั้นที่ดินดังกล่าวมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก)เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2530 จำเลยที่ 1 ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอพิมายรังวัดตรวจสอบเนื้อที่ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2759 ตำบลท่าหลวง อำเภอพิมายจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกับที่ดินของโจทก์ด้านทิศใต้ในการรังวัดของเจ้าพนักงานที่ดิน จำเลยที่ 1 ได้ชี้แนวเขตรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ด้านทิศใต้เป็นเนื้อที่ประมาณ 2 งานโจทก์และจำเลยทั้งสามตกลงกันให้แบ่งแยกและโอนที่ดินของโจทก์ด้านทิศใต้ให้จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ 1 และที่ 2โจทก์สำคัญผิดว่าจะแบ่งแยกที่ดินให้จำเลยที่ 3 เพียงเล็กน้อยจึงตกลง หลังจากนั้นจำเลยที่ 3 ไปยื่นคำขอเพื่อนำชี้รังวัดแนวเขตเพื่อแบ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินจากโจทก์และจำเลยทั้งสามได้นำชี้แนวเขตรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศใต้เป็นเนื้อที่ประมาณ2 งาน โจทก์คัดค้าน แต่จำเลยทั้งสามไม่ยอมรับฟังและได้ทำการปักเขตล้อมรั้วเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่สามารถเลี้ยงปลาในบ่อปลาได้ ขอให้พิพากษาว่า ที่ดินตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเนื้อที่ประมาณ 2 งาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 7658 เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ห้ามมิให้จำเลยทั้งสามบุกรุกรบกวนสิทธิของโจทก์ให้จำเลยทั้งสามรื้อถอนรั้วที่จำเลยทั้งสามทำขึ้นในที่ดินของโจทก์ออกไปภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ศาลพิพากษา หากจำเลยทั้งสามไม่ยอมรื้อถอนให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนโดยให้จำเลยทั้งสามร่วมกันออกค่าใช้จ่ายเป็นเงิน 500 บาท ให้จำเลยทั้งสามล้อมรั้วแนวเขตทางทิศใต้ของที่ดินพิพาทตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง หากจำเลยทั้งสามไม่กระทำ ให้โจทก์เป็นผู้ปักเขตรั้วโดยให้จำเลยทั้งสามร่วมกันออกค่าใช้จ่ายเป็นเงิน 500 บาท และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 3,000 บาท
จำเลยทั้งสามให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2766 ที่โจทก์ซื้อมามีเนื้อที่2 งาน 68 ตารางวา และถูกทางราชการตัดถนนผ่านที่ดินด้านทิศเหนือทำให้มีเนื้อที่ลดลง โจทก์ไม่เคยเข้ามายุ่งเกี่ยวกับที่ดินและบ่อเลี้ยงปลาของจำเลยที่ 1 เลย จึงไม่ได้รับความเสียหาย โจทก์ขอออกโฉนดที่ดินมีเนื้อที่ 3 งาน 81 ตารางวา มากกว่าจำนวนเนื้อที่ดินที่โจทก์ซื้อมา และทับที่ดินของจำเลยที่ 1 ด้านทิศเหนือ จำเลยที่ 1จึงคัดค้านและขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินของโจทก์ในส่วนที่ทับที่ดินของจำเลยที่ 1 เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอพิมาย ได้เรียกโจทก์และจำเลยทั้งสามไปไกล่เกลี่ย โจทก์ยอมแบ่งแยกที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 7658 ให้แก่จำเลยทั้งสาม ซึ่งจำเลยที่ 1 ตกลงให้จำเลยที่ 3เป็นผู้รับโอนที่ดินที่โจทก์แบ่งแยกให้ ได้มีการรังวัดแบ่งแยกที่ดินของโจทก์ตามที่โจทก์และจำเลยทั้งสามตกลงกันนำชี้ ที่ดินที่จะแบ่งแยกมีเนื้อที่ 2 งาน 43 ตารางวา และในวันนั้นโจทก์ยินยอมจดทะเบียนให้จำเลยที่ 3 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมกับโจทก์ในที่ดินตามโฉนดที่ดินดังกล่าวด้วย โดยมีข้อตกลงว่าโจทก์จะไปทำการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินให้จำเลยที่ 3 ต่อมาโจทก์และจำเลยที่ 3ได้ยื่นคำขอแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 7658ต่อเจ้าพนักงานที่ดิน แต่หลังจากนั้นโจทก์กลับยื่นคำคัดค้านการแบ่งแยก เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอพิมายจึงไม่ดำเนินการแบ่งแยกให้การกระทำของโจทก์เป็นการโต้แย้งสิทธิของจำเลยที่ 3 จึงขอให้พิพากษาว่า ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 7658 ตำบลท่าหลวงอำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา เฉพาะส่วนเนื้อที่ 2 งาน 43 ตารางวาตามข้อตกลงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2530 เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 3ให้โจทก์ถอนคำคัดค้านการแบ่งกรรมสิทธิ์รวมสำหรับที่ดินและยื่นคำขอแบ่งแยกกรรมสิทธิ์สำหรับที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 3ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ศาลพิพากษา หากโจทก์ไม่กระทำให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาทำนิติกรรมแทนโจทก์ ห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินดังกล่าว
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์เข้าครอบครองที่ดินและทำประโยชน์ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน จำเลยทั้งสามไม่เคยเข้าครอบครองยุ่งเกี่ยว และเจ้าพนักงานที่ดินได้ออกโฉนดที่ดินให้โจทก์แล้วโจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 7658 โดยชอบด้วยกฎหมาย ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสามไม่ถูกต้อง โจทก์จึงขอยกเลิก ดังนั้นข้อตกลงใด ๆ ระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสามจึงระงับสิ้นไป ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 7658ตำบลท่าหลวง อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา เฉพาะส่วนตามข้อตกลงฉบับลงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2530 เอกสารท้ายคำให้การและฟ้องแย้งหมายเลข 1 เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 3 ให้โจทก์จัดการแบ่งแยกให้จำเลยที่ 3 หากไม่จัดการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ ห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินดังกล่าวอีกให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 นั้น ได้ความว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าที่โจทก์อุทธรณ์ว่าบันทึกเอกสารหมาย จ.28 ที่ระบุว่าโจทก์ยอมแบ่งที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 3 นั้น โจทก์มิได้ลงชื่อด้วยความสมัครใจแต่เจ้าพนักงานที่ดินหลอกลวงให้โจทก์ลงชื่อโดยอ้างว่าเพื่อจะทำการรังวัดที่ดินของโจทก์ใหม่โดยมิได้อ่านให้ฟัง บันทึกดังกล่าวไม่ตรงกับเจตนาของโจทก์ ไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่จะมีผลบังคับตามกฎหมาย และโจทก์กับจำเลยที่ 3 ได้ทำข้อตกลงกันยกเลิกบันทึกเอกสารหมาย จ.28 แล้ว นั้น ปรากฏว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า บันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.32 และ จ.33 เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ และจำเลยที่ 3 ได้แสดงเจตนาถือเอาประโยชน์จากสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวแล้ว ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 3 หาได้วินิจฉัยว่าบันทึกเอกสารหมายจ.28 เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่มีผลบังคับได้ และพิพากษาไปตามนั้นไม่ ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ก็เห็นว่าศาลชั้นต้นพิพากษาชอบแล้ว โจทก์ฎีกาว่า ไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 แต่มิได้กล่าวให้แจ้งชัดว่าไม่เห็นด้วยในปัญหาข้อไหน อย่างไรเป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยหรือไม่เพียงแต่กล่าวอ้างความเป็นมาของที่ดินพิพาท และโต้แย้งการรับฟังเอกสารหมาย จ.28 ซึ่งซ้ำกับที่กล่าวในอุทธรณ์อันเป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นเท่านั้น จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาโจทก์