คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1378/2546

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาว่าจ้างปลูกสร้างบ้านมีใจความในข้อ 2.1, 2.2 และ 2.3 ว่าโจทก์จะชำระค่าจ้างในวันทำสัญญาเป็นเงินจำนวน 150,000 บาท และให้ถือว่าเป็นการชำระเงินงวดที่ 1 และชำระเงินงวดอีกเป็นจำนวน 1,433,190 บาท โดยแบ่งชำระรวม 21 งวด ภายในวันที่ 20 ของเดือน และข้อ 2.4 มีว่า ส่วนที่เหลือจากการชำระตามข้อ 2.1, 2.2 และ 2.3 เป็นเงินจำนวน 3,694,110 บาท จะชำระเมื่องานก่อสร้างทุกอย่างแล้วเสร็จสมบูรณ์ แม้สัญญาดังกล่าวไม่ได้กำหนดระยะเวลาการปลูกสร้างบ้านไปแล้วเสร็จไว้ก็ตาม ก็อนุมานได้ว่าภายในระยะเวลาที่โจทก์ผ่อนชำระค่างวดครบ 22 งวด จำเลยจะต้องปลูกสร้างบ้านให้แก่โจทก์ให้ได้ไม่น้อยกว่าตามสัดส่วนของเงินค่าจ้างที่จำเลยได้รับชำระจากโจทก์ไปแล้ว แต่จำเลยไม่ได้เริ่มลงมือปลูกสร้างบ้านแต่อย่างใด โจทก์จึงมีหนังสือสอบถามไปยังจำเลยถึงความคืบหน้าในการปลูกสร้างบ้าน และให้จำเลยกำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จสมบูรณ์ของการปลูกสร้างบ้าน แต่จำเลยก็มิได้มีหนังสือชี้แจงหรือโต้แย้งคัดค้านอย่างใด โจทก์ให้เวลาจำเลยอีก 4 เดือนเศษ จำเลยก็ยังไม่ปลูกสร้างบ้านให้แก่โจทก์ ถือได้ว่าโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้ภายในระยะเวลาอันสมควรแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้
สัญญาว่าจ้างปลูกสร้างบ้านมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยของเงินที่จำเลยจะต้องใช้คืนแก่โจทก์ไว้ จำเลยจึงต้องเสียดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของจำนวนเงินที่จำเลยได้รับชำระแต่ละงวดจนกว่าจะใช้คืนเสร็จ แก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 7
จำเลยให้การว่า บุคคลที่บอกเลิกสัญญาว่าจ้างปลูกสร้างบ้านเป็นผู้ที่ไม่มีอำนาจบอกเลิกสัญญา โดยมิได้กล่าวอ้างว่าเพราะเหตุใดจึงไม่มีอำนาจบอกเลิกสัญญา เป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้ง ถือไม่ได้ว่าจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ในเรื่องการมอบอำนาจให้ทนายความบอกเลิกสัญญา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินค่าจ้าง ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องและค่าเสียหายรวมเป็นเงิน 2,905,433.60 บาท และดอกเบี้ยของต้นเงินค่าจ้างและค่าเสียหายรวมจำนวน 2,583,190 บาท ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันถัดจาก วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,905,433.60 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 1,583,190 บาท นับแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 15,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,583,190 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ เจ็ดครึ่งต่อปีของจำนวนเงินที่จำเลยได้รับชำระแต่ละงวดนับแต่วันที่ 21 มิถุนายน 2539 จนถึงวันที่ 20 มีนาคม 2541 รวม 22 งวด ตามรายการในเอกสารหมาย จ.5 และ จ.6 จนถึงวันฟ้อง และให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี ในต้นเงินจำนวน 1,583,190 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น กับให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 3,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์ทำสัญญาว่าจ้างจำเลยปลูกสร้างบ้านในราคา 5,277,300 บาท โจทก์ชำระเงินมัดจำและผ่อนชำระเงินตามสัญญารวม 1,583,190 บาท จนกระทั่งเดือนสิงหาคม 2541 จำเลยยังไม่ได้ปลูกสร้างบ้านตามที่รับจ้าง
พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า โจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาโดยชอบหรือไม่ เห็นว่า สัญญาว่าจ้างปลูกสร้างบ้าน เป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่งจำเลยจะต้องปลูกสร้างบ้านให้เสร็จแล้ว โจทก์จะชำระเงินงวดสุดท้าย ซึ่งตามปกติจะต้องมีกำหนดระยะเวลาการปลูกสร้างบ้านให้แล้วเสร็จไว้ในสัญญาด้วย แต่ข้อความในสัญญาว่าจ้างปลูกสร้างบ้าน ข้อ 2 ซึ่งเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับค่าจ้างและการชำระค่าจ้าง มีใจความในข้อ 2.1 2.2 และ 2.3 ว่า โจทก์จะชำระค่าจ้างในวันทำสัญญาเป็นเงินจำนวน 150,000 บาท และให้ถือว่าเป็นการชำระเงินงวดที่ 1 และชำระเงินงวดอีกเป็นเงินจำนวน 1,433,190 บาท โดยแบ่งชำระรวม 21 งวด ตามรายละเอียดแนบท้ายสัญญา ภายในวันที่ 20 ของเดือน และข้อ 2.4 มีว่าส่วนที่เหลือจากการชำระตามข้อ 2.1, 2.2 และ 2.3 เป็นเงินจำนวน 3,698,110 บาท จะชำระเมื่องานก่อสร้างทุกอย่างแล้วเสร็จสมบูรณ์ตามแบบแปลนและรายละเอียดในการก่อสร้าง ดังนั้น แม้สัญญา ดังกล่าวไม่ได้กำหนดระยะเวลาการปลูกสร้างบ้านให้เสร็จไว้ก็ตาม ซึ่งในกรณีเช่นนี้จะอนุมานได้ว่าภายในระยะเวลาที่โจทก์ผ่อนชำระค่างวดครบ 22 งวดให้แก่โจทก์ให้ได้ไม่น้อยกว่าตามสัดส่วนของเงินค่าจ้างที่จำเลยได้รับชำระจากโจทก์ไปแล้ว แต่จำเลยก็ไม่ได้เริ่มลงมือปลูกสร้างบ้านแต่อย่างใด โจทก์จึงมีหนังสือลงวันที่ 17 เมษายน 2541 สอบถามไปยังจำเลยถึงความคืบหน้าในการปลูกสร้างบ้าน และให้จำเลยกำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จสมบูรณ์ของการปลูกสร้างบ้าน แต่จำเลยก็มิได้มีหนังสือชี้แจงหรือโต้แย้งคัดค้านอย่างใด สำหรับหนังสือที่โจทก์สอบถามจำเลยดังกล่าวนี้จำเลยโต้แย้งในคำฟ้องฎีกาว่าไม่น่าเชื่อว่าโจทก์ได้ส่งและจำเลยได้รับจากโจทก์นั้น ศาลฎีกาตรวจคำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยแล้ว ปรากฏว่าจำเลยรับว่าได้รับหนังสือสอบถามแล้ว ข้อโต้แย้งของจำเลยในข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น และโดยหนังสือสอบถามฉบับดังกล่าวประกอบกับการที่โจทก์ให้เวลาจำเลยอีก 4 เดือนเศษจำเลยก็ยังไม่ปลูกสร้างบ้านให้แก่โจทก์ ศาลฎีกาจึงเห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ที่ว่าโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้ภายในระยะเวลาอันสมควรแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า จำเลยต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์เพียงใด ในปัญหาข้อนี้เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “เมื่อคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม…” และวรรคสอง บัญญัติว่า “ส่วนเงินอันจะต้องใช้คืนในกรณีดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น ท่านให้บวกดอกเบี้ยเข้าด้วย คิดตั้งแต่เวลาที่ได้รับไว้” และมาตรา 7 บัญญัติว่า “ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กันและมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือโดยบทกฎหมายอันชัดแจ้ง ให้ใช้อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี” ดังนั้น เมื่อสัญญาว่าจ้างปลูกสร้างบ้านมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยของเงินที่จำเลยจะต้องใช้คืนแก่โจทก์ไว้ จำเลยจึงต้องเสียดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของจำนวนเงินที่จำเลยได้รับชำระแต่ละงวดจนกว่าใช้คืนเสร็จแก่โจทก์ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องในอัตราร้อยละ 12 ต่อปีนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์มิได้นำหลักฐานการมอบอำนาจให้ทนายความบอกเลิกสัญญามาแสดง จึงไม่อาจเชื่อได้ว่าโจทก์มอบอำนาจให้ทนายความบอกเลิกสัญญาแทนโจทก์นั้น จำเลยให้การว่า บุคคลที่บอกเลิกสัญญาว่าจ้าง ปลูกสร้างบ้านเป็นผู้ที่ไม่มีอำนาจบอกเลิกสัญญาโดยมิได้กล่าวอ้างว่าเพราะเหตุใดจึงไม่มีอำนาจบอกเลิกสัญญา เป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้ง ถือไม่ได้ว่า จำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ในเรื่องการมอบอำนาจให้ทนายความบอกเลิกสัญญา ฎีกาของจำเลยในข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินจำนวน 1,1583,190 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ กับให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 3,000 บาท แทนโจทก์.

Share