คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5566/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ปัญหาว่าฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายแต่ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยได้ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การและยกขึ้นอุทธรณ์แล้วแต่เมื่อผู้ร้องสอดมิได้ยกขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นผู้ร้องสอดก็ไม่มีสิทธิยกปัญหานี้ขึ้นอุทธรณ์ได้เพราะมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นผู้ร้องสอดจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์และเมื่อผู้ร้องสอดฎีกาปัญหานี้อีกจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยออกจากที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 123 และ 126 ตำบลบางปูอำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ และห้ามไม่ให้จำเลยรบกวนการครอบครองหรือใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวของโจทก์กับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ในอัตราเดือนละ 2,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะออกจากที่ดินของโจทก์จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความอ้างว่า ผู้ร้องสอดเป็นเจ้าของที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 123ทั้งแปลงและที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. 1)เลขที่ 126 บางส่วน รวมประมาณ 80 ไร่ ตามแผนที่สังเขปเอกสารท้ายคำร้องหมายเลข 1 ขอให้ยกฟ้อง และพิพากษาว่าผู้ร้องสอดเป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองที่พิพาททั้งสองแปลง จำนวนประมาณ80 ไร่ ตามเอกสารท้ายคำร้องหมายเลข 1 และให้ใส่ชื่อผู้ร้องสอดในหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินพิพาททั้งสองแปลง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1)
โจทก์ยื่นคำให้การแก้คำร้องสอด ขอให้ยกคำร้องสอด
จำเลยยื่นคำให้การแก้คำร้องสอด ขอให้ยกคำร้องสอด
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน(ส.ค.1) เลขที่ 123 และ 126 ตำบลบางปู อำเภอเมืองสมุทรปราการจังหวัดสมุทรปราการ เป็นของโจทก์ ให้ขับไล่จำเลยและผู้ร้องสอดออกจากที่ดินดังกล่าว ให้จำเลยและผู้ร้องสอดร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 10 เมษายน2532) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและผู้ร้องสอดจะออกจากที่ดินดังกล่าวยกคำร้องสอด
จำเลย และ ผู้ร้องสอด อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะออกจากที่ดินดังกล่าวของโจทก์นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลย และ ผู้ร้องสอด ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้เป็นยุติว่าผู้ร้องสอดเป็นบุตรของนายบรรจงและนางแผ้วกรลักษณ์ นางจิราภรณ์ ชิตานนท์ เป็นพี่สาวร่วมบิดามารดาเดียวกันกับผู้ร้องสอด นางจิรพรรณ เสถียรปกิรณกรและนางนันทิยา กรลักษณ์เป็นพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันกับผู้ร้องสอด เดิมที่ดินพิพาทตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 123 และ 126 ตำบลบางปูอำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ เนื้อที่ 5 ไร่ และ40 ไร่ ตามลำดับ ตามสำเนาแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1)เอกสารหมาย จ.5 และ จ.6 ซึ่งอยู่ติดต่อกันเป็นของนางสาวจำรวยกรลักษณ์ พี่สาวของนายบรรจง ต่อมานางจิราภรณ์ นางจิรพรรณและนางนันทิยาได้รับมรดกที่ดินพิพาทดังกล่าวจากนางสาวจำรวยตามสำเนาหนังสือพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.31 จำเลยและนายวิงทองเป้อ ปลูกบ้านอยู่อาศัยคนละหลังในที่ดินพิพาท นายวิงได้รื้อบ้านออกไปจากที่ดินพิพาทแล้วส่วนจำเลยยังอยู่ในที่ดินพิพาทคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเป็นข้อแรกว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ ในปัญหานี้จำเลยให้การต่อสู้และฎีกาว่า โจทก์ฟ้องเพียงว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 123 และ 126ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลบางปู อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ โดยซื้อมาจากนางจิราภรณ์ ชิตานนท์ และนายศิวะศักดิ์เกษสังข์ จำเลยอยู่อาศัยในที่ดินดังกล่าวของโจทก์โดยได้รับอนุญาตจากเจ้าของเดิมและโจทก์ตลอดมาเท่านั้นทำให้จำเลยไม่สามารถเข้าใจฟ้องของโจทก์และต่อสู้คดีได้ถูกต้อง เพราะไม่อาจเข้าใจได้ว่าที่ดินของโจทก์อยู่ที่ใด มีอาณาเขตติดต่อกับใครบ้างและมีเนื้อที่จำนวนเท่าใดเป็นฟ้องเคลือบคลุมนั้น เห็นว่า โจทก์ได้ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 123 และ 126 โดยได้บรรยายด้วยว่าที่ดินพิพาทตั้งอยู่ที่ตำบลบางปูเก่า อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ จำเลยจึงพอเข้าใจได้แล้วว่าที่ดินพิพาทอยู่ที่ใดโจทก์ไม่จำต้องบรรยายในฟ้องว่าที่ดินพิพาทมีอาณาเขตติดต่อกับที่ดินของผู้ใด และมีเนื้อที่เท่าไร เพราะเป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถจะนำสืบต่อไปในชั้นพิจารณาได้ ฟ้องโจทก์ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่ผู้ร้องสอดฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ร้องสอดว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุมโดยเห็นว่าผู้ร้องสอดเข้ามาในคดีในฐานะคู่ความฝ่ายที่สามและคำร้องของผู้ร้องสอดหาได้บรรยายถึงประเด็นหรือปัญหาข้อนี้ไม่ จึงเป็นปัญหาของโจทก์และจำเลยโดยเฉพาะไม่เกี่ยวกับผู้ร้องสอดเป็นการไม่ชอบเพราะประเด็นเรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเมื่อมีปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับจำเลยคนหนึ่งแล้วย่อมถือว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยคนอื่นได้ยกเป็นข้อกล่าวอ้างด้วยนั้นเห็นว่าแม้ปัญหาว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน และแม้จำเลยได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นต่อสู้ในคำให้การและยกขึ้นอุทธรณ์แล้วก็ตาม แต่เมื่อผู้ร้องสอดมิได้ยกปัญหานี้ขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้น ผู้ร้องสอดก็ไม่มีสิทธิที่จะยกคดีนี้ขึ้นอุทธรณ์ได้ เพราะมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ผู้ร้องสอดจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง แม้ผู้ร้องสอดจะอุทธรณ์ปัญหาข้อนี้ขึ้นมาด้วย ก็เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ข้อดังกล่าวของผู้ร้องสอดนั้นจึงชอบแล้วฎีกาของผู้ร้องสอดข้อนี้ฟังไม่ขึ้น และผู้ร้องสอดฎีกาว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุมนั้นเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายืน

Share