คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6309/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายเป็นเงิน207,000บาทศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน57,000บาทแก่โจทก์จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยฎีกายกเหตุอ้างว่าไม่จงใจขาดนัดพิจารณาอันเป็นข้อเท็จจริงแม้ฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นปัญหาในชั้นดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นไม่ใช่ปัญหาในประเด็นที่พิพาทตามคำฟ้องและคำให้การก็ตามแต่เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าจำเลยทั้งสองจงใจขาดนัดพิจารณาก็ต้องถือทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเป็นเงิน57,000บาทตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเมื่อไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันใช้ค่าทดแทนความเสียหายแก่กาย และชื่อเสียงของโจทก์และค่าทดแทนความเสียหายเนื่องจากโจทก์ได้ใช้จ่ายไปในการเตรียมการสมรสโดยสุจริต จำเลยทั้งสองขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นจึงพิจารณาชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียว และพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 57,000 บาท แก่โจทก์ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องว่า วันที่ 30 มิถุนายน 2537 ทนายจำเลยทั้งสองมีคดีที่ศาลชั้นต้น 2 เรื่อง คือคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1527/2536 นับเวลา 9 นาฬิกา และคดีนี้นัดเวลา13.30 นาฬิกา ศาลมีคำสั่งเลื่อนคดีอาญาหมายเลขดำที่1527/2536 เมื่อเวลา 10 นาฬิกา ตามคำขอของพนักงานอัยการโจทก์ ทนายจำเลยจึงเดินทางโดยทางรถยนต์ไปสถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านไผ่ จังหวัดของแก่น เพื่อเจรจาตกลงในคดีแรงงานที่นัดไว้ก่อน ต่อมาเวลาประมาณ 12.30 นาฬิกาได้เดินทางกลับมายังศาลชั้นต้นนั้น แต่ระหว่างเดินทางรถยนต์ของทนายจำเลยเครื่องยนต์ขัดข้องใช้การไม่ได้ ทนายจำเลยได้นั่งรถยนต์โดยสารประจำทางและมาถึงศาลเมื่อเวลาประมาณ15 นาฬิกา ซึ่งการพิจารณาได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ทนายจำเลยจึงมิได้ว่าความจำเลยทั้งสองมิได้จงใจขาดนัด แต่ด้วยเหตุสุดวิสัยทำให้ทนายจำเลยไม่สามารถมาว่าความได้ทันตามนัดจำเลยทั้งสองมีความประสงค์จะต่อสู้คดีไปจนถึงที่สุดขอศาลมีคำสั่งพิจารณาคดีใหม่
โจทก์คัดค้านว่า จำเลยทั้งสองประวิงการบังคับคดี จำเลยทั้งสองจงใจขาดนัด ทนายจำเลยอ้างเหตุขัดข้องซึ่งไม่เป็นความจริง ทั้งไม่ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่โดยเร็วแต่กลับปล่อยให้ล่วงเลยถึง 39 วัน เป็นการไม่เอาใจใส่ในหน้าที่ของทนาย ไม่มีเหตุอันสมควรที่จะขอพิจารณาคดีใหม่ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้น มี คำสั่ง ให้ยก คำร้อง
จำเลย ทั้ง สอง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลย ทั้ง สอง ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 207,000 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน 57,000 บาท แก่โจทก์ จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนจำเลยทั้งสองฎีกายกเหตุอ้างว่าไม่จงใจขาดนัดพิจารณา อันเป็นข้อเท็จจริง แม้ฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นปัญหาในชั้นดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้น ไม่ใช่ปัญหาในประเด็นที่พิพาทตามคำฟ้องและคำให้การ แต่เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าจำเลยทั้งสองจงใจขาดนัดพิจารณา ก็ต้องถือทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเป็นเงิน 57,000 บาท ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาจำเลยทั้งสองมาโดยไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาจำเลยทั้งสอง คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดแก่จำเลยทั้งสอง ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share