แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ที่ดินที่โจทก์จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมและตกลงจะทำการแบ่งแยกนั้น ส่วนของโจทก์อยู่ติดแม่น้ำ ส่วนของจำเลยอยู่ติดถนนจึงไม่มีความจำเป็นที่โจทก์จะผ่านที่ดินส่วนของจำเลยไปสู่ทางสาธารณะกรณีที่จะใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 วรรคสอง บังคับต้องเป็นกรณีที่มีทางออกถึงทางสาธารณะแต่การออกไปสู่ทาง สาธารณะมีสิ่งอื่นตามที่ กฎหมายกำหนดไว้ขวางกั้นจึงจะมีทางจำเป็นผ่านที่ดินแปลงอื่นไปสู่ทางสาธารณะได้
ย่อยาว
โจทก์จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินแปลงหนึ่ง ในการแบ่งแยกที่ดินดังกล่าว โจทก์เลือกเอาที่ดินทางด้านเหนือซึ่งติดทางน้ำสาธารณะ จำเลยเลือกเอาที่ดินทางด้านใต้ซึ่งติดถนนสาธารณะ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์มีทางออกสู่ทางสาธารณะแล้ว พิพากษาให้แบ่งแยกโดยไม่มีสิทธิเรียกร้องทางเดินจำเป็นจากจำเลย โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมที่ดินตามโฉนดที่ 5714 ตำบลบางคล้า อำเภอบางคล้าจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยจำเลยปลูกเรือนอยู่ทางส่วนใต้ของที่ดินที่ติดกับถนนประชาเนรมิตร นายทวีศักดิ์ เหลืองรุ่งรัศ เช่าที่ดินส่วนทางทิศเหนือที่ติดกับแม่น้ำบางปะกงจากโจทก์ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2518 โจทก์ให้นายสนองครุธาพันธ์ บิดาโจทก์ไปกับจำเลยเพื่อแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวที่สำนักงานที่ดินโดยโจทก์เลือกเอาที่ดินส่วนทางทิศเหนือที่ติดกับแม่น้ำบางปะกง จำเลยเลือกเอาที่ดินส่วนทางทิศใต้ที่ติดกับถนนประชาเนรมิตร แต่ยังไม่ได้ทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินกัน ในที่ดินส่วนของจำเลยมีทางเดินกว้างประมาณ 1.50 เมตร อยู่ด้านริมทางทิศตะวันออก เป็นทางที่นายทวีศักดิ์ใช้เป็นทางออกสู่ถนนประชาเนรมิต ต่อมาทางเดินนั้นถูกปิดกั้นวันนัดชี้สองสถาน โจทก์จำเลยตกลงแบ่งที่ดินตามโฉนดนั้นคนละครึ่งตามส่วนดังกล่าวแล้ว โจทก์จำเลยขอสืบพยานเพียงประเด็นเดียวว่า ทางเดินกว้างประมาณ 1.50 เมตร ในที่ดินส่วนที่จำเลยตกลงเลือกตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นทางจำเป็นหรือไม่ ประเด็นอื่นหากมีก็ขอสละ คดีมีปัญหาเพียงประเด็นเดียวว่า ทางเดินดังกล่าวแล้วเป็นทางจำเป็นหรือไม่
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1394 บัญญัติว่า “ที่ดินแปลงใดมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่ จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นจะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้
ที่ดินแปลงใดมีทางออกได้ แต่ต้องข้ามสระ บึง หรือทะเล หรือมีที่ชันอันระดับที่ดินกับทางสาธารณะสูงกว่ากันมากไซร้ ท่านว่าให้ใช้ความในวรรคต้นบังคับ ฯลฯ” ที่ดินตามโฉนดที่ 5714 ที่โจทก์จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมติดกับทางสาธารณะสองด้าน คือ ด้านทิศเหนือจดแม่น้ำบางปะกง ด้านทิศใต้จดถนนประชาเนรมิต ไม่มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่ จนไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ จากที่ดินตามโฉนดที่ 5714 จึงไม่มีทางจำเป็นที่จะผ่านที่ดินแปลงอื่นไปสู่ทางสาธารณะ ที่โจทก์ฎีกาว่าที่ดินส่วนของโจทก์จดแม่น้ำบางปะกง ซึ่งเป็นทางสาธารณะก็เป็นทางสาธารณะที่ไม่อาจใช้ได้สะดวก เพราะเมื่อไปตามแม่น้ำบางปะกงแล้วก็ไม่ทราบว่าจะไปขึ้นบกที่ไหนและเวลาน้ำลงที่ดินส่วนของโจทก์สูงกว่าระดับในแม่น้ำมาก จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 วรรคสองนั้น เห็นว่ากรณีที่จะใช้มาตรา 1349 วรรคสองบังคับนั้น ต้องเป็นกรณีที่มีทางออกถึงทางสาธารณะ แต่การออกไปสู่ทางสาธารณะมีสิ่งอื่นตามที่กฎหมายกำหนดไว้ขวางกั้น จึงจะมีทางจำเป็นผ่านที่ดินแปลงอื่นไปสู่ทางสาธารณะ แต่ที่ดินของโจทก์จดแม่น้ำบางปะกงอยู่แล้ว ฉะนั้นทางเดินกว้างประมาณ 1.50เมตร ในที่ดินส่วนที่จำเลยตกลงเลือกจึงไม่ใช่ทางจำเป็น”
พิพากษายืน