คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2560/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่ราษฎรได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางโคกระบือเดินผ่านที่ดินจำเลยเป็นการใช้ชั่วคราวโดยวิสาสะตามประเพณีของชาวบ้าน โจทก์ซึ่งอยู่บ้านใกล้เคียงก็ได้ขออาศัยเดินผ่านที่ดินจำเลยออกสู่ถนนด้วยแต่ภายหลังโจทก์จะถมดินขยายทางเพื่อให้รถยนต์เข้าออกได้อย่างถาวรจำเลยจึงไม่ยอม ดังนี้ การที่โจทก์ขออาศัยเดินผ่านทางพิพาทในที่ดินจำเลยจึงเป็นการใช้ทางโดยอาศัยสิทธิของจำเลยผู้เป็นเจ้าของที่ดินทั้งตามพฤติการณ์ถือได้ว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทโดยถือวิสาสะ แม้โจทก์จะใช้ทางพิพาทติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี ทางพิพาทก็ไม่ตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์โดยอายุความ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์จากนายโพธิ์ เกิดทรง เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2514 ที่ดินของโจทก์ไม่มีส่วนใดติดกับถนนสายอยุธยา-เสนา โจทก์จึงต้องใช้ทางผ่านทางกระบือซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของที่ดินโจทก์แล้วมาผ่านที่ดินของจำเลย มีขนาดกว้าง 6.30 เมตร ยาวตลอดแนวที่ดินของจำเลยเป็นทางเดินและนำรถยนต์ผ่านเข้าออกตามแผนที่ท้ายฟ้อง โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยเป็นทางโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาจะได้สิทธิภารจำยอมนับตั้งแต่ซื้อที่ดินมาจนถึงปัจจุบันนี้เป็นเวลา 14 ปีเศษ จำเลยและบิดาจำเลยมิได้ขัดขวางแต่อย่างใด โจทก์จึงได้ทางภารจำยอมโดยอายุความ เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2529 จำเลยนำดินมาถมทิ้งไว้ปิดครึ่งทางพิพาทตลอดแนว ทำให้โจทก์ใช้ทางไม่สะดวกได้รับความเดือดร้อน ขอศาลพิพากษาว่าทางตามรูปแผนที่ท้ายฟ้องขนาดกว้าง6.30 เมตร ยาวตลอดแนวในที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 60 ตำบลพระขาวอำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ของจำเลยไปสู่ถนนสายอยุธยา-เสนา ตกอยู่ในภารจำยอมและบังคับให้จำเลยขนดินออกไปจากทางภารจำยอมทำให้อยู่ในสภาพดีดังเดิม หากไม่ปฏิบัติตามให้โจทก์เป็นผู้ทำแทนโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด
จำเลยให้การว่า ด้านทิศตะวันออกของที่ดินโจทก์มีทางสาธารณะใช้เป็นทางเดินและนำรถยนต์ผ่านเข้าออกสู่ถนนสายอยุธยา-เสนา ได้โจทก์และชาวบ้านใช้ทางนี้ไม่มีทางภารจำยอมตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยไม่โต้เถียงกันรับฟังได้ว่าระหว่างที่ดินโจทก์ด้านทิศตะวันออกกับที่ดินจำเลยมีทางกระบือสาธารณประโยชน์คั่นอยู่ โจทก์ใช้ทางกระบือแล้วเดินผ่านทางพิพาทซึ่งอยู่ในที่ดินจำเลยกว้างประมาณ 6 เมตร ยาวตลอดแนวไปจดถนนสายอยุธยา-เสนา มานานประมาณ 14 ปี มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าทางพิพาทตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์โดยอายุความหรือไม่
พิเคราะห์แล้ว ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องกับรูปที่ดินซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินไปสำรวจ ทางสาธารณะหรือทางกระบือไปสิ้นสุดตรงที่ดินของนายสมพงษ์ ไตรเพียร นายหยวก ฉายโพธิ์พฤกษ์ พยานโจทก์ซึ่งเคยเป็นผู้ใหญ่บ้านมานานถึง 25 ปี เบิกความว่า ทางกระบือนี้ไม่ได้ใช้มานานประมาณ 3 ปี เพราะนายสมพงษ์เอาดินมาถมปิดกั้นและนายหยวกยังได้ให้บันทึกถ้อยคำต่อหน้านายอำเภอบางบาลว่าที่ดินแปลงที่จำเลยขอออก น.ส.3 นี้ เดิมมีสภาพเป็นที่ว่างเปล่าราษฎรใช้เป็นทางเดินของโคกระบือเพื่อไปลงน้ำ ต่อมาเมื่อประมาณ4 ปีเศษ ราษฎรเลิกใช้ทางดังกล่าว เพราะเลิกเลี้ยงโคกระบือและมีทางอื่นเดินได้สะดวกกว่า ปัจจุบันคงมีโจทก์ได้ใช้ประโยชน์เป็นทางรถยนต์เข้าบ้านเพียงผู้เดียว จะมีผู้อื่นใช้บ้างก็เพียงผู้มาซื้อของในบ้านโจทก์เท่านั้น นายฟอง เกิดหาญ อายุ 72 ปี อยู่บ้านติดกับบ้านโจทก์เบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า โจทก์กับนายผ่อน เกิดโภคาสามีจำเลยสนิทสนมคุ้นเคยกันดี นายผ่อนมาซื้อสุราที่บ้านโจทก์เป็นประจำทราบว่า ทางพิพาทโจทก์ได้ขออนุญาตนายผ่อนเดินเข้าออกโดยได้ยินคนเขาพูดกัน ด้านทิศใต้ของที่ดินโจทก์ซึ่งมีนางชด(ไม่ปรากฏนามสกุล) ปลูกคอกวัวอยู่ก็มีทางสาธารณะออกสู่ถนนสายอยุธยา-เสนาได้ ชาวบ้านหลายครัวเรือนก็ใช้ทางนี้รวมทั้งโจทก์ด้วยโจทก์เพิ่งปิดประตูทางด้านทิศใต้ ไม่ได้ใช้ทางดังกล่าวเข้าออกประมาณ 2 ปี ตัวโจทก์เบิกความว่า เมื่อนายอุทิศ สุขสมสุข บุตรเขยได้มาอาศัยอยู่ที่บ้านโจทก์ นายอุทิศได้นำรถยนต์ของนายอุทิศผ่านทางพิพาทมาจอดไว้ที่บ้านโจทก์ ข้อเท็จจริงดังกล่าวทำให้น่าเชื่อว่าการที่ราษฎรได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางโคกระบือเดินผ่านที่ดินจำเลยไปนั้นเป็นการใช้ชั่วคราวโดยวิสาสะตามประเพณีของชาวบ้าน โจทก์ซึ่งอยู่บ้านใกล้เคียงก็ได้ขออาศัยเดินผ่านที่ดินจำเลยออกสู่ถนนด้วยแต่ภายหลังโจทก์จะถมดินขยายทางเพื่อให้รถยนต์เข้าออกได้อย่างถาวรจำเลยจึงไม่ยินยอม ดังนี้ การที่โจทก์ได้ขออาศัยเดินผ่านทางพิพาทในที่ดินจำเลยจึงเป็นการใช้ทางโดยอาศัยสิทธิของจำเลยผู้เป็นเจ้าของที่ดินทั้งตามพฤติการณ์ถือได้ว่า โจทก์ใช้ทางพิพาทโดยการถือวิสาสะ แม้โจทก์จะใช้ทางพิพาทติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่า10 ปี ทางพิพาทก็ไม่ตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์โดยอายุความ…”
พิพากษายืน.

Share